คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8399/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วม จำเลย และผู้ร่วมซื้อที่ดินทุกคนตกลงกันว่ายอมให้จำเลยเลือกเอาที่ดินด้านที่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ของจำเลยตลอดแนวเป็นเนื้อที่ 2,400 ส่วนโดยไม่ต้องจับสลาก และจำเลยยอมให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วมและผู้ร่วมซื้อคนอื่น ๆ ผ่านเข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ของจำเลยไปสู่ถนนสามัคคีได้ เมื่อมีการทำแผนที่แบ่งที่ดินเป็นแปลงย่อยและถนนแล้วให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วม และผู้ซื้อทุกคนตรวจดูเห็นว่าถูกต้องจึงได้จับสลากเป็นของแต่ละคน จำเลยได้จัดการถมดินในที่ดินแปลงย่อยทั้งสองของจำเลยและทำถนนต่อจากถนนที่ใช้ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 875 ผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ไปสู่ถนนสามัคคี ซึ่งเป็นถนนสาธารณะโจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ได้ใช้ประโยชน์จากถนนดังกล่าวเข้าออกสู่ถนนสาธารณะตลอดมาตั้งแต่ปี 2520 โจทก์ที่ 3 ได้เข้าไปปลูกต้นไม้ และโจทก์ที่ 4 ได้เข้าไปปลูกบ้านและขุดบ่อเลี้ยงปลา ถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้ถนนดังกล่าวตามสิทธิตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้ภารจำยอมมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสิบเอ็ดฟ้องว่า โจทก์ทั้งสิบเอ็ด จำเลย และผู้มีชื่อรวม 15 คน ได้ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 875 เนื้อที่ประมาณ 23 ไร่ 1 งาน 52 ตารางวา เมื่อปี 2516 ทางราชการได้ตัดถนนสามัคคีผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ของจำเลยซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 875 ทางด้านทิศเหนือ จำเลยตกลงกับโจทก์ทั้งสิบเอ็ดและผู้มีชื่อว่าจะแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยได้ที่ดินเต็มตามส่วนติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 941 โดยจำเลยยินยอมให้ใช้ถนนกว้าง 10 เมตร เป็นทางเข้าออกผ่านที่ดินโฉนดเลขที่941 สู่ถนนสามัคคี โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน โจทก์ทั้งสิบเอ็ดและผู้มีชื่อได้ใช้ถนนตามข้อตกลงเป็นทางเข้าออกผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 941 สู่ถนนสามัคคีโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาจะให้ได้สิทธิภารจำยอมติดต่อกันเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว เมื่อปลายปี 2530 โจทก์ทั้งสิบเอ็ดได้ให้จำเลยจดทะเบียนสิทธิการใช้ทางเป็นภารจำยอม แต่จำเลยเพิกเฉยและห้ามใช้ถนนเป็นทางเข้าออกตั้งแต่นั้นมา ขอให้มีคำสั่งห้ามจำเลยมิให้กระทำใด ๆ อันเป็นการรบกวนและขัดขวางในการใช้ถนนเป็นทางเข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 941 สู่ถนนสามัคคีของโจทก์ทั้งสิบเอ็ด ให้จำเลยจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอมการใช้ถนนในที่ดินโฉนดเลขที่ 941 สู่ถนนสามัคคี หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาตกลงกับโจทก์ทั้งสิบเอ็ดหรือผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยใช้ทางในที่ดินโฉนดเลขที่ 875 ตามฟ้อง จำเลยได้ปิดทางในที่ดินส่วนของจำเลยตั้งแต่ปี 2514 ตลอดมาจน บัดนี้ ที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดอ้างว่าใช้ทางมาตั้งแต่ปี 2519 จึงไม่เป็นความจริงขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ว่าที่ร้อยตรีนำโชค ยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยมิให้กระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนขัดขวางโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 โจทก์ที่ 9 ถึงที่ 11และโจทก์ร่วมในการใช้ถนนเป็นทางเข้าออกบนที่โฉนดเลขที่ 941สู่ถนนสามัคคี ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 8 และคำขออื่น
โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 โจทก์ที่ 7 โจทก์ที่ 9 ถึงที่ 11 และโจทก์ร่วมกับจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนทางภารจำยอมแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 โจทก์ที่ 9 ถึงที่ 11 และโจทก์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรีจังหวัดนนทบุรี มีเนื้อที่ความกว้างและยาวจากถนนสาธารณะ(สามัคคี) ไปจนสุดที่ดินโฉนดเลขที่ 78251 และ 78262 ตามที่ปรากฏในรายงานการเดินเผชิญสืบวันที่ 24 สิงหาคม 2532 หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาตามกฎหมาย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังได้ยุติว่า เมื่อปี 2510 โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วมจำเลย และผู้มีชื่อได้ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 875ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี มา 1 แปลงโดยจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวม 2,400 ส่วน ต่อมาได้มีการแบ่งแยกโฉนดที่ดิน จำเลยได้ที่ดินทางด้านทิศเหนือติดที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ของจำเลยโดยไม่ต้องจับสลาก และได้ที่ดินเกินส่วนไป55 ตารางวา แบ่งเป็นโฉนดเลขที่ 78251 และ 78622 ต่อมาปี 2515ถึง 2516 ทางราชการตัดถนนสามัคคี ซึ่งเป็นถนนสาธารณะผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ของจำเลยทางทิศเหนือ ระหว่างช่องว่างของที่ดินโฉนดเลขที่ 78251 กับ 78262 จำเลยได้ทำกำแพงเป็นแนวยาวที่สุดที่ดิน และระหว่างช่องว่างดังกล่าวมีถนนบดอัดด้วยดินทรายจนสุดกำแพงเป็นยาวประมาณ 84.90 เมตร เป็นทางผ่านไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ออกสู่ถนนสามัคคี ซึ่งโจทก์ทั้งสิบเอ็ดและโจทก์ร่วมกับพวกได้ใช้ทางดังกล่าวเข้าออกสู่ถนนสามัคคี จนถึงปี 2530 จำเลยได้ห้ามมิให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดและโจทก์ร่วมกับพวกใช้ทางดังกล่าว ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ถนนพิพาทที่ผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ของจำเลยเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดและโจทก์ร่วมตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ที่ 1ถึงที่ 4 โจทก์ที่ 7 โจทก์ที่ 9 ถึงที่ 11 และโจทก์ร่วมนำสืบว่าเมื่อ ทาง ราชการตัดถนนสามัคคี โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วม จำเลยและผู้ร่วมซื้อที่ดินจึงตกลงกันให้ทำทางออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 875 ผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ของจำเลยไปสู่ถนนสามัคคีโดยให้สิทธิจำเลยได้ที่ดินที่ร่วมกันซื้อไว้ด้านที่ติดกับโฉนดเลขที่ 941 เต็มจำนวนโดยไม่ต้องจับสลากและเฉลี่ยที่ดินทำถนนฝ่ายจำเลยนำสืบว่า ไม่เคยมีข้อตกลงดังกล่าวผู้ที่ร่วมซื้อที่ดินต่างมีความหวังว่าจะมีถนนจากหมู่บ้านประชานิเวศน์ 2 ผ่านมาทางทิศตะวันออก เหตุที่จำเลยได้ที่ดินมากขึ้นเนื่องจากฝ่ายโจทก์ทั้งสิบเจ็ดและโจทก์ร่วมได้ส่วนแบ่งที่ดินทางด้านที่จะติดถนนด้านอื่น เหลือที่ดินให้จำเลยทางด้านที่ไม่ติดถนนเห็นว่า จำเลยยอมรับว่าจำเลยได้ที่ดินด้านที่ติดกับโฉนดเลขที่ 941 โดยไม่ต้องจับสลากและได้มากกว่าส่วนของตนโดยไม่ต้องออกเฉลี่ยที่ดินเพื่อทำถนน แต่โจทก์ทั้งสิบเจ็ด โจทก์ร่วม และผู้ร่วมซื้อคนอื่น ๆ ต้องจับสลากและเฉลี่ยที่ดินเพื่อทำถนนทุกคนถ้าแปลงที่จำเลยได้รับการแบ่งเป็นแปลงที่ไม่ติดถนนและอยู่ด้านในสุด จำเลยก็ย่อมจะเลือกเอาวิธีจับสลากได้เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ การที่จำเลยได้รับสิทธิที่จะเลือกเอาได้ก่อนดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีสิ่งตอบแทนกัน หลังจากจับสลากกันแล้วได้มีการมอบอำนาจให้จำเลยไปจัดการแบ่งแยกโฉนดที่ดินให้เป็นส่วนของแต่ละคนตามที่จับสลากได้ ตามแผนที่สังเขปแสดงการแบ่งแยกที่ดิน มีบันทึกถึงข้อตกลงไว้ชัดเจนว่า จำเลยอนุญาตให้ตัดถนนภายในผ่านที่ดินของจำเลยไปออกถนนสามัคคีได้ โดยมีข้อแม้ว่าต้องให้สิทธิดังกล่าวแก่จำเลย แม้บันทึกนี้จำเลยจะมิได้ลงชื่อไว้ แต่หากไม่มีข้อตกลงดังกล่าวจริง จำเลยน่าจะได้โต้แย้งคัดค้านเสียตั้งแต่แรกที่เห็นเอกสารนี้ ที่ดินส่วนที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วมและผู้ร่วมซื้อได้ร่วมกันเฉลี่ยไว้เป็นถนนนั้นก็เป็นแนวตรงรับกับถนนในที่ดินโฉนดเลขที่ 941ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเพิ่งซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 941 มาเมื่อปี2516 จำเลยจะทำความตกลงในปี 2515 ไว้ล่วงหน้าได้อย่างไรนั้นปรากฏตามคำเบิกความของนายมนัส แดงสุภา เจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี ว่าโฉนดเลขที่ 941 นี้เป็นการรวมที่ดินจากโฉนดที่ดินเดิม คือโฉนดเลขที่ 941, 942 และรวมถึงโฉนดเลขที่ 78251 และ 78262 ด้วยเมื่อรวมแล้วต้องเอาเลขที่ดินเดิมมาใช้และเอาโฉนดเลขที่น้อยเป็นหลักที่ดินโฉนดเลขที่ 942นั้นจำเลยได้มาก่อนปี 2513 และอยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 875 ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดและโจทก์ร่วมจึงไม่มีอะไรขัดแย้งกัน ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ได้ใช้ถนนพิพาทเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ซึ่งอยู่ด้านในเพื่อประโยชน์ที่จะใช้เป็นทางเดินผ่านไปสู่ถนนสาธารณะ เมื่อโจทก์ใช้ถนนดังกล่าวตามสิทธิตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้ภารจำยอมมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมได้เป็นการคลาดเคลื่อนนั้น เห็นว่าโจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เบิกความยืนยันว่า ในปี 2514 นั้นเมื่อโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วม จำเลย และผู้ร่วมซื้อที่ดินทุกคนตกลงกันว่า ยอมให้จำเลยเลือกเอาที่ดินด้านที่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ของจำเลยตลอดแนวเป็นเนื้อที่ 2,400 ส่วนโดยไม่ต้องจับสลากและจำเลยยอมให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ร่วมและผู้ร่วมซื้อคนอื่น ๆ ผ่านเข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ของจำเลยไปสู่ถนนสามัคคีได้แล้ว ได้ให้นายสมพงษ์ พะลัง ไปทำแผนที่การแบ่งที่ดินเป็นแปลงย่อยและถนน เมื่อโจทก์ทั้งสิบเอ็ดโจทก์ร่วม และผู้ซื้อทุกคนตรวจดูเห็นว่าถูกต้อง จึงได้มีการจับสลากเป็นของแต่ละคน จำเลยได้จัดการถมดินในที่ดินแปลงย่อยทั้งสองของจำเลยและทำถนนต่อจากถนนที่ใช้ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 875 ผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ไปสู่ถนนสามัคคี โจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ได้ใช้ประโยชน์จากถนนดังกล่าวเข้าออกสู่ถนนสาธารณะตลอดมาตั้งแต่ปี 2520 โจทก์ที่ 3 ได้เข้าไปปลูกต้นไม้และโจทก์ที่ 4 ได้เข้าไปปลูกบ้านและขุดบ่อเลี้ยงปลา ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์ได้ใช้ถนนดังกล่าวตามสิทธิตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้ภารจำยอมมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมได้ จึงหาเป็นการคลาดเคลื่อนแต่อย่างใดไม่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share