คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4107/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยวินิจฉัยว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่มีมูลหนี้ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คนั้น จำเลยมิได้ฎีกาโต้เถียงคำวินิจฉัยดังกล่าว ข้อเท็จจริงย่อมเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ การที่จำเลยฎีกากล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ทรงคนก่อนกับโจทก์ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของจำเลย เพราะไม่ทำให้การโอนเช็คพิพาทระหว่างผู้ทรงคนก่อนกับโจทก์เป็นการโอนด้วยคบคิดกันฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ประกอบด้วยมาตรา 989 ไปได้ จำเลยต้องรับผิดชดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน ๒๕๗,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ ผู้ทรงเช็คมอบเช็คให้โจทก์นำมาฟ้องจำเลยโดยคบคิดกันฉ้อฉล โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๒๕ รวมกันแล้วต้องไม่เกิน ๑๗,๑๐๐ บาทตามที่โจทก์ขอ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่านายศักดาและบริษัทปิยะทัสส์ จำกัด รู้เห็นและร่วมกันทำสัญญาจ้างเหมาล้างแร่จากมูลดินทราย ตามสัญญาจ้างเหมาดังกล่าวมีใจความสำคัญว่าบริษัทปิยะทัสส์ จำกัด ตกลงจ้างจำเลยให้ทำการล้างแร่จากมูลดินทรายในเขตประทานบัตรที่ ๑๗๐๘๐/๑๑๗๙๘ มีกำหนดเวลา ๒ ปี ๔๕ วัน โดยจำเลยตกลงให้ค่าตอบแทนแก่บริษัทปิยะทัสส์ จำกัด ในการใช้น้ำและที่ดินได้ตลอดอายุสัญญาเป็นเงิน ๔๘๐,๐๐๐ บาท จึงเป็นหนี้ที่จะต้องชำระตอบแทนกันอยู่ เมื่อประทานบัตรดังกล่าวสิ้นอายุลงในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๕ ก่อนสัญญาจ้างเหมาล้างแร่จากมูลดินทราย จำเลยย่อมมีสิทธิไม่ชำระหนี้จนกว่านายศักดาจะชำระหนี้ตอบแทน ฉะนั้น มูลหนี้ตามเช็คพิพาทจึงยังมีข้อต่อสู้อยู่โจทก์รู้ดีว่าจำเลยมีข้อต่อสู้ที่จะไม่ต้องชำระหนี้แก่นายศักดาตามเช็คพิพาท ฉะนั้น การที่โจทก์ยอมรับโอนเช็คพิพาทแล้วนำไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บ มูลกรณีบ่งชี้ชัดว่าโจทก์ไม่สุจริต ถือได้ว่าเป็นการคบคิดกันฉ้อฉล จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่า มูลหนี้ตามสัญญาจ้างเหมาล้างแร่จากมูลดินทราย ระหว่างบริษัทปิยะทัสส์ จำกัด กับจำเลยเป็นหนี้ที่สมบูรณ์บังคับกันได้ และโจทก์รับโอนเช็คพิพาทโดยสุจริตศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้ความประสงค์เดิมของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยต้องการเช่าเหมืองแร่จากบริษัทปิยะทัสส์ จำกัด ไม่ต้องการทำสัญญาจ้างเหมาล้างแร่จากมูลดินทราย แต่เมื่อจำเลยยอมทำนิติกรรมตามความประสงค์ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อในที่สุดจะได้เข้าไปทำเหมืองแร่ตามที่ต้องการ ก็ย่อมแสดงว่าจำเลยเปลี่ยนมายินยอมผูกพันตามนิติกรรมที่ทำขึ้น เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่จำเลยออกเพื่อชำระหนี้ตามสัญญา แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ไม่ได้คบคิดกับนายศักดาผู้ทรงคนก่อนฉ้อฉลนำเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ตามที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการวินิจฉัยว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่มีมูลหนี้ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คนั้น จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อนี้ขึ้นมาให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังนั้น แม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยตามปัญหาที่จำเลยฎีกามาว่า นายศักดาผู้ทรงคนก่อนเป็นนายจ้างของนายสมนึกผู้แทนบริษัทโจทก์ จำเลยไม่ทราบมาก่อนว่านายศักดาได้โอนเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ บริษัทอวนินทร์ตัตถ จำกัด บริษัทปิยะทัสส์ จำกัด กับบริษัทโจทก์มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันและทราบเรื่องเกี่ยวกับเช็คพิพาท ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของจำเลย เพราะไม่ทำให้การโอนเช็คพิพาทระหว่างนายศักดาผู้ทรงคนก่อนกับโจทก์เป็นการโอนด้วยคบคิดกันฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๖ ประกอบด้วยมาตรา ๙๘๙ ไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share