คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ให้โจทก์จากมูลหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญากู้เงินโดยวิธีขายลดเช็คต่อมา ว.ซึ่งเป็นจำเลยที่4ในคดีนั้นได้ทำหนังสือรับใช้หนี้ในหนี้ทุกประเภทของจำเลยที่1ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยโดย ว.ยอมรับภาระเป็นลูกหนี้ชำระหนี้รายนี้แทนจำเลยที่1นอกเหนือจากความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันและโจทก์ยินยอมให้ ว. ชำระหนี้ในวันทำสัญญาเท่ากับหนี้ที่ ว. เป็นผู้ค้ำประกันส่วนที่เหลือยอมให้ ว.ออกเช็คล่วงหน้าผ่อนชำระหนี้6งวดโดยโจทก์ให้ความเชื่อถือ ว.และยอมคืนโฉนดที่ดินที่ ว. จำนองเป็นประกันหนี้จำเลยที่1ให้ไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองด้วยโจทก์จะเรียกดอกเบี้ยต่อเมื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ในอัตราร้อยละ20ต่อปีตามสัญญารับใช้หนี้ข้อ3เท่านั้นเป็นการที่โจทก์และ ว. ทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้เดิมให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850เป็นผลทำให้มูลหนี้เดิมซึ่งมีอยู่ระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา852โจทก์จะมาฟ้องจำเลยทั้งสามในมูลหนี้เดิมที่ระงับสิ้นไปแล้วหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย ที่ 1 กู้เงิน โจทก์ 325,000 บาท ตกลงยอม เสีย ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ 20 ต่อ ปี และ ได้ ทำ สัญญากู้เงินโดย วิธี ขายลดเช็ค กับ โจทก์ ใน วงเงิน ไม่เกิน 475,000 บาท ยอม เสียดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ 20 ต่อ ปี โดย มี จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3เป็น ผู้ค้ำประกัน ใน วงเงิน ไม่เกิน 800,000 บาท อัตรา ดอกเบี้ย ร้อยละ20 ต่อ ปี ต่อมา จำเลย ที่ 1 ผิดนัด ไม่ชำระ หนี้ ตาม สัญญากู้ และ โจทก์นำ เช็ค ที่ ขาย ลด ไป เข้าบัญชี เพื่อ เรียกเก็บเงิน ธนาคาร ตามเช็ค ปฏิเสธการ จ่ายเงิน ขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สาม ร่วมกัน ชำระ เงิน จำนวน768,589.15 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ 20 ต่อ ปี
จำเลย ทั้ง สาม ให้การ ว่า ฟ้องโจทก์ เป็น ฟ้องซ้ำ กับ คดีหมายเลขแดง ที่ 13007/2528 ของ ศาลชั้นต้น หนี้ คดี นี้ เป็น ราย เดียว กับที่ โจทก์ ได้ ฟ้อง จำเลย ทั้ง สาม ตาม คดี หมายเลขแดง ที่ 13007/2528ซึ่ง นางสาว วรปราณี ได้ ชำระ แทน จำเลย ทั้ง สาม ไป แล้ว ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ จำเลย ทั้ง สาม ร่วมกัน ชำระ เงิน768,889.15 บาท พร้อม ดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ 20 ต่อ ปี นับ จาก วันฟ้องจนกว่า จะ ชำระ เสร็จ
จำเลย ทั้ง สาม ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า โจทก์ ฟ้อง จำเลย เป็น คดี หมายเลขแดงที่ 13007/2528 ขอให้ จำเลย ทั้ง สี่ ชำระหนี้ ให้ โจทก์ เป็น เงิน รวม1,449,486.98 บาท และ หนังสือ สัญญา รับ ใช้ หนี้ ซึ่ง นางสาว วรปราณี จำเลย ที่ 4 ใน คดี ดังกล่าว ได้ ทำ สัญญา ให้ ไว้ ต่อ โจทก์ ลงวันที่ 3เมษายน 2528 มี ใจความ ว่า ข้อ 1 ผู้รับ ใช้ หนี้ (นางสาว วรปราณี ) ได้ ตรวจสอบ หลักฐาน แห่ง หนี้ โดย ละเอียด แล้ว ยอมรับ ว่า บริษัท วรพงษ์ อินดัสเตรียล ดีเวลล้อปเม้นท์ จำกัด ลูกหนี้ (จำเลย ที่ 1)เป็น หนี้ บริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ นวธนกิจ จำกัด (โจทก์ ) จำนวน 1,456,431.30 บาท ผู้รับ ใช้ หนี้ ตกลง ยินยอม ที่ จะ เป็น ผู้ชำระหนี้แทน ลูกหนี้ ให้ แก่ บริษัท (โจทก์ ) จน ครบถ้วน ข้อ 2 ระบุ ว่า หนี้ ตามข้อ 1 ผู้รับ ใช้ หนี้ ตกลง ยินยอม ชำระหนี้ ที่ ค้างชำระ ทั้งหมด โดย จะ ชำระให้ แก่ บริษัท (โจทก์ ) ดัง ต่อไป นี้ 2.1 ใน วัน ทำ หนังสือ สัญญา รับ ใช้หนี้ ผู้รับ ใช้ หนี้ จะ ชำระหนี้ จาก จำนวนเงิน ใน ข้อ 1 เป็น เงิน 800,000บาท 2.2 ผู้รับ ใช้ หนี้ จะ ผ่อนชำระ หนี้ ส่วน ที่ เหลือ จาก ข้อ 2.1 เป็นงวด รายปี ติดต่อ กัน รวม 6 งวด โดย การ สั่งจ่าย เช็ค ชำระหนี้ งวด ละ ฉบับลงวันที่ 1 เมษายน 2529, 1 เมษายน 2530, 1 เมษายน 2531,1 เมษายน 2532, 1 เมษายน 2533 ตามลำดับ เป็น จำนวนเงินฉบับ ละ 110,000 บาท และ ฉบับ ลงวันที่ 1 เมษายน 2534 จำนวนเงิน100,000 บาท ฯลฯ ข้อ 3 ระบุ ว่า ผู้รับ ใช้ หนี้ สัญญา ว่า หาก ผู้รับ ใช้หนี้ ผิดนัด ชำระหนี้ งวด ใด งวด หนึ่ง หรือ เช็ค ซึ่ง สั่งจ่าย ชำระหนี้ตาม ข้อ 2.2 เรียกเก็บเงิน ไม่ได้ ไม่ว่า กรณี ใด ๆ ผู้รับ ใช้ หนี้ ยินยอมให้ บริษัท (โจทก์ ) คิด ดอกเบี้ย จาก จำนวนเงิน ที่ เหลือ ได้ ใน อัตราร้อยละ 21 ต่อ ปี ข้อ 4 ระบุ ว่า การแสดง เจตนา เข้า ชำระหนี้แทน ลูกหนี้ ดังกล่าว ข้างต้น ผู้รับ ใช้ หนี้ ขอรับ รอง ว่า เป็น การกระทำด้วย ความสมัครใจ ของ ผู้รับ ใช้ หนี้ เอง เพื่อ ที่ จะ ชำระหนี้ แทน ลูกหนี้และ ผู้รับ ใช้ หนี้ ตกลง ยินยอม ให้ บริษัท (โจทก์ ) สงวนสิทธิ ที่ จะดำเนินการ ฟ้องร้อง เรียกร้อง ให้ ลูกหนี้ หรือ กอง มรดก ซึ่ง เป็นทรัพย์สิน ของ ลูกหนี้ รวมทั้ง สิทธิ อื่น ๆ อัน ลูกหนี้ จะ พึงได้รับโดย ทั้งนี้ ผู้รับ ใช้ หนี้ ตกลง ยินยอม มิให้ ถือเอา การแสดง เจตนา เข้าชำระหนี้ ตาม สัญญา นี้ เป็น การ แปลงหนี้ใหม่ ด้วย การ เปลี่ยน ตัว ลูกหนี้เป็น อัน ขาด ข้อ 5 ระบุ ว่า ถ้า ผู้รับ ใช้ หนี้ ประพฤติ ปฏิบัติ ผิดสัญญาฉบับนี้ แม้ แต่ ข้อ ใด ข้อ หนึ่ง หรือ ผิดนัด การ ผ่อนชำระ งวด ใด งวด หนึ่งหรือ มี กรณี อื่น ใด อัน กระทำ ให้ บริษัท (โจทก์ ) ไม่ได้ รับชำระหนี้ตาม สัญญา ที่ กล่าว แล้ว เต็ม จำนวน หรือ ตาม กำหนด ที่ ระบุ ไว้ ใน สัญญาฉบับนี้ ผู้รับ ใช้ หนี้ ตกลง ยินยอม ให้ บริษัท (โจทก์ ) ฟ้องบังคับ ให้ผู้รับ ใช้ หนี้ ชำระหนี้ ทั้งสิ้น ได้ ทันที โดย จะ ไม่โต้แย้ง แต่ ประการใดข้อ 6 ระบุ ว่า ใน กรณี ที่ ผู้รับ ใช้ หนี้ ประพฤติ ผิดสัญญา นี้ เป็นเหตุให้ บริษัท (โจทก์ ) จำเป็น ต้อง ใช้ สิทธิ ทาง ศาล บังคับ ให้ ผู้รับ ใช้ หนี้ชำระหนี้ ที่ ค้าง ตาม สัญญา รับ ใช้ หนี้ ฉบับนี้ แล้ว ผู้รับ ใช้ หนี้ ตกลงยินยอม รับผิด ชดใช้ บรรดา ค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ อัน บริษัท (โจทก์ )ได้เสีย ไป ใน การ เตือน เรียกร้อง ทวงถาม ดำเนินคดี และ บังคับ การ ชำระหนี้ด้วย จน เต็ม จำนวน จาก ข้อ สัญญา ใน หนังสือ สัญญา รับ ใช้ หนี้ ดังกล่าวเป็น กรณี ที่ โจทก์ ได้ คำนวณ ยอดหนี้ ทุก ประเภท ของ จำเลย ที่ 1 ทั้ง ต้นเงินและ ดอกเบี้ย ใน วันที่ 3 เมษายน 2528 เป็น เงิน ทั้งสิ้น 1,456,431.30บาท นางสาว วรปราณี ยอมรับ ภาระ เป็น ลูกหนี้ ชำระหนี้ ราย นี้ แทน จำเลย ที่ 1 นอกเหนือ จาก ความรับผิด ใน ฐานะ ผู้ค้ำประกัน ในวงเงิน 800,000 บาท โดย โจทก์ ยินยอม ให้ นางสาว วรปราณี ชำระหนี้ ใน วัน ทำ สัญญา 800,000 บาท ส่วน ที่ เหลือ โจทก์ ยินยอมให้ นางสาว วรปราณี ออก เช็ค ล่วงหน้า ผ่อนชำระ หนี้ 6 งวด ตั้งแต่ ปี 2529 ถึง ปี 2533 ปี ละ 110,000 บาท และ ปี 2534เป็น เงิน 100,000 บาท ซึ่ง นางสาว วรปราณี ได้ ออก เช็ค ธนาคาร ศรีนคร จำกัด สั่งจ่าย เงิน ใน วันที่ 3 เมษายน 2528 จำนวน 800,000 บาท และออก เช็ค ธนาคาร ศรีนคร จำกัด อีก 6 ฉบับ ให้ โจทก์ ตรง ตาม ที่ ระบุ ไว้ ใน สัญญา รับ ใช้ หนี้ ข้อ 2 รวมเป็น เงิน 1,450,000 บาท เมื่อ รวมดอกเบี้ย ที่ โจทก์ รับ ไป อีก 10,250 บาท แล้ว รวมเป็น เงิน ทั้งสิ้น1,460,250 บาท มาก กว่า จำนวนเงิน ที่ โจทก์ ฟ้อง ขอ มา ใน คดี เดิมและ เช็ค ทุก ฉบับที่ นางสาว วรปราณี สั่งจ่าย ชำระหนี้ ของ จำเลย ที่ 1ให้ โจทก์ ไป ปรากฎ ว่า เมื่อ ถึง กำหนด โจทก์ เรียกเก็บเงิน จาก ธนาคาร ได้แสดง ว่า ใน คดี เดิม ที่ โจทก์ ฟ้อง โจทก์ พอใจ เรียกร้อง หนี้ ของ จำเลย ที่ 1ทุก ประเภท เมื่อ คำนวณ ยอดหนี้ ใน วันที่ 3 เมษายน 2528 เป็น เงิน1,456,431 บาท เท่านั้น โดย โจทก์ ให้ ความ เชื่อถือ นางสาว วรปราณี ที่ รับ ภาระ ชำระหนี้ แทน ด้วย การ ออก เช็ค ชำระ เงิน ใน วัน ทำ สัญญา รับ ใช้ หนี้ส่วน หนึ่ง เงิน ส่วน ที่ เหลือ โจทก์ ยอม ให้ นางสาว วรปราณี ออก เช็ค ล่วงหน้า ผ่อนชำระ เป็น รายปี จน ครบ จำนวน โดย ไม่ได้ คำนึง ถึง ดอกเบี้ยและ ยอม คืน โฉนด ที่ดิน ที่ นางสาว วรปราณี ได้ จำนอง เป็น ประกันหนี้ ของ จำเลย ที่ 1 ให้ ไป จดทะเบียน ไถ่ถอน จำนอง อีก ด้วย โจทก์จะ เรียก ดอกเบี้ย ต่อเมื่อ เรียกเก็บเงิน ตามเช็ค ไม่ได้ ใน อัตรา ร้อยละ20 ต่อ ปี ตาม สัญญา รับ ใช้ หนี้ ข้อ 3 เท่านั้น เห็น ได้ ชัด ว่า เป็น การ ที่โจทก์ และ นางสาว วรปราณี ทั้ง สอง ฝ่าย ระงับ ข้อพิพาท ที่ มี ขึ้น ตาม มูลหนี้เดิม นั้น ให้ เสร็จ ไป ด้วย ต่าง ยอม ผ่อนผัน ให้ แก่ กัน จึง เป็นสัญญา ประนีประนอม ยอมความ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 เป็น ผล ทำให้ มูลหนี้เดิม ซึ่ง มี อยู่ ระงับ สิ้นไป ทำให้แต่ละ ฝ่าย มีสิทธิ ตาม ที่ แสดง ไว้ ใน สัญญา ประนีประนอม ยอมความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 โจทก์ จะ มา ฟ้องจำเลย ทั้ง สาม ใน มูลหนี้เดิม ที่ ระงับ สิ้นไป แล้ว หาได้ไม่
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์

Share