คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3242/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้ใช้ทราย ดินลูกรังและดินถมลงในที่ดินพิพาทที่โจทก์ประสงค์จะซื้อไว้ โดยจำเลยรู้เห็นและยินยอมเป็นการกระทำโดยสมัครใจของโจทก์ โดยในระยะนั้นโจทก์เชื่อว่าจะไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญา แม้จำเลยจะได้ทรัพย์ดังกล่าวมาในฐานลาภมิควรได้ และยอมให้ขุดเอาดินที่ถมไปได้เมื่อต่อมาโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และจำเลยได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์โดยชอบแล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยใช้ราคาทรายดินลูกรังและดินที่ถมในที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงขายที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์วางมัดจำค่าที่ดินบางส่วนให้แก่จำเลย จำเลยตกลงว่าจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ภายหลัง และจำเลยอนุญาตให้โจทก์เข้าถมที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคาร โจทก์ได้ซื้อทราย ดินลูกรัง และดินนำไปถมในที่ดิน ต่อมาจำเลยผิดสัญญาไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาจะซื้อขายให้จำเลยคืนเงินมัดจำและใช้ราคาทราย ดินลูกรัง และดินที่ถมลงในที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ แต่จำเลยเพิกเฉยจึงฟ้องให้จำเลยชำระเงินมัดจำค่าที่ดิน ค่าทราย ดินลูกรังดินถมที่ พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยทำหนังสือสัญญาจะขายที่นาจริง ตามสัญญาดังกล่าวในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2520 โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ดินแก่จำเลย ณ สำนักงานที่ดิน และจำเลยมีหน้าที่ต้องนำโฉนดไป ณ สำนักงานที่ดินเพื่อจดทะเบียนโอนขายให้แก่โจทก์ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2520 จำเลยไปที่สำนักงานที่ดินตั้งแต่เวลา 8.30 นาฬิการออยู่จนถึงเวลา 16.30 นาฬิกา แต่โจทก์ไม่ไป โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยริบเงินมัดจำตามสัญญาและถือว่าเป็นการเลิกสัญญาต่อกันโจทก์ถมที่ดินที่ทำสัญญาจะซื้อขายกันโดยพลการและเป็นการกระทำโดยสมัครใจของโจทก์เอง จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบใช้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์มิได้ไปที่สำนักงานที่ดินในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2520 และเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำ

แม้โจทก์จะได้ใช้ทรายดินลูกรังและดินถมลงในที่ดินพิพาทที่โจทก์ประสงค์จะซื้อไว้โดยจำเลยรู้เห็นและยินยอมก็ตาม ก็เป็นการกระทำโดยสมัครใจของโจทก์ โดยในระยะนั้นโจทก์เชื่อว่าโจทก์จะไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญา แม้จำเลยจะได้ทรัพย์ดังกล่าวมาในฐานลาภมิควรได้ และจำเลยเบิกความว่าถ้าโจทก์ขุดเอาที่ดินที่ถมในที่ดินพิพาท จำเลยก็ยอมให้ขุดเอาไปได้ เมื่อต่อมาโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และจำเลยได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์โดยชอบแล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยใช้ราคาทราย ดินลูกรัง และดินที่ถมในที่ดินพิพาทแต่อย่างไร

พิพากษายืน

Share