คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8396/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองขอกู้ยืมเงินโจทก์โดยใช้โฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งถูกเพิกถอนแล้วให้ยึดถือเป็นประกัน โดยจำเลยทั้งสองปกปิดข้อเท็จจริงนี้ไว้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดจำเลยทั้งสองเสนอใช้ที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าวชำระแทนเงินกู้ โดยจำเลยที่ 1 ทำหนังสือมอบอำนาจให้ไปจดทะเบียน จำเลยที่ 2ทำหนังสือให้ความยินยอม ทั้งที่โฉนดที่ดินนั้นถูกเพิกถอนเพราะที่ดินตามโฉนดที่ดินถูกขายทอดตลาดและเจ้าพนักงานออกโฉนดที่ดินฉบับใหม่แล้ว เป็นเหตุให้โจทก์คืนหนังสือสัญญากู้ให้แก่จำเลย ดังนี้การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดข้อความจริงจนโจทก์หลงเชื่อและได้เงินจากโจทก์ไปจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองโดยเจตนาทุจริตร่วมกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นพยาน และนำโฉนดที่ดินเลขที่ 21572 ซึ่งอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันอันเป็นความเท็จ ความจริงขณะนั้นจำเลยที่ 1ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าว และโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าวถูกเพิกถอนยกเลิกไปแล้วการหลอกลวงของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์หลงเชื่อมอบเงินจำนวน 750,000 บาท ให้แก่จำเลยทั้งสองไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,341 และให้จำเลยทั้งสองใช้เงินจำนวน 750,000 บาทแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกจำเลยทั้งสองกระทงละ1 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุกคนละ 2 ปี และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 750,000 บาท แก่โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำผิดของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดกรรมเดียว ลงโทษจำคุกคนละ1 ปี ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 750,000บาท แก่โจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะยื่นฟ้องคดีในส่วนแพ่งต่อศาลที่มีอำนาจต่อไป กับให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์มีพยานที่รู้เห็นการกระทำผิดได้แก่ตัวโจทก์เบิกความถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า จำเลยทั้งสองขอกู้ยืมเงิน 800,000 บาท ใช้โฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 ให้ยึดถือเป็นประกัน โจทก์ให้กู้ 750,000 บาททำสัญญากู้โดยจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นพยานเหตุการณ์ตอนนี้มีพยานยืนยันคนแรกคือนายจรัสสอนมา คนติดต่อและพาไปกู้ยืมเงินโจทก์ คนต่อมาคือนางสาวเมตตาภาติยะศิขัณฑ์ นอกจากนี้โจทก์มีโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 อยู่ที่โจทก์มีสำเนาหนังสือสัญญากู้ เป็นหลักฐานพยานบุคคลและพยานเอกสารน่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองขอกู้ยืมเงินโจทก์โดยใช้โฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1ซึ่งถูกเพิกถอนแล้วให้ยึดถือเป็นประกัน โดยจำเลยทั้งสองปกปิดข้อเท็จจริงนี้ไว้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดจำเลยทั้งสองเสนอใช้ที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าวชำระแทนเงินกู้ โดยจำเลยที่ 1 ทำหนังสือมอบอำนาจให้ไปจดทะเบียนจำเลยที่ 2 ทำหนังสือให้ความยินยอม ทั้งที่โฉนดที่ดินนั้นถูกเพิกถอนเพราะที่ดินตามโฉนดที่ดินถูกขายทอดตลาดเจ้าพนักงานออกโฉนดที่ดินฉบับใหม่แล้ว เป็นเหตุให้โจทก์คืนหนังสือสัญญากู้ให้แก่จำเลย ทั้งที่จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าโฉนดที่ดินถูกเพิกถอน ที่ดินตกเป็นของผู้อื่นแต่จำเลยทั้งสองปกปิดข้อเท็จจริงนี้ไว้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยไม่มีข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดข้อความจริงจนโจทก์หลงเชื่อและได้เงินจากโจทก์750,000 บาท พยานหลักฐานฝ่ายจำเลย จำเลยทั้งสองอ้างว่า กู้ยืมเงินห้างหุ้นส่วนจำกัดมหาชัยเรืองสิน 300,000 บาท ชำระหนี้แล้ว แต่ไม่ได้โฉนดที่ดินคืนทางห้างหุ้นส่วนจำกัดมหาชัยเรืองสินยังหาไม่พบ ส่วนหนังสือมอบอำนาจและหนังสือให้ความยินยอมก็เป็นเอกสารทำไว้ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดมหาชัยเรืองสิน เป็นข้ออ้างที่ไม่มีหลักฐานไม่มีเหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงยินยอมให้เอกสารสำคัญเหล่านั้นอยู่กับโจทก์ ทั้งที่ชำระหนี้แล้ว ไม่น่าเชื่อ ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฉ้อโกงโจทก์ดังศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำการใดที่แสดงว่าสำนึกผิดและไม่ได้กระทำการใดเป็นเหตุอันควรปราณี ตามพฤติการณ์ไม่สมควรรอการลงโทษ ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share