คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3011/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อได้ลงลายมือชื่อกำกับชื่อผู้มีสิทธิรับเงินคนเดิมที่จำเลยที่ 1 ขีดฆ่าออกและลงลายมือชื่อกำกับชื่อที่พิมพ์หรือเขียนแทนลงไปใหม่ กับได้ลงลายมือชื่อสั่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายเงินในคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรตามที่จำเลยที่ 1 นำเสนอ การที่จำเลยที่ 1 กับพวกสามารถทุจริตและนำเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวได้ เพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชาได้ลดขั้นตอนการตรวจสอบ ให้จำเลยที่ 1 เสนอคำขอต่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยตรงไม่ต้องผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้นอันเป็นการเสี่ยงต่อการทุจริตแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล คำฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยละเอียดรอบคอบ ไม่จัดให้มีการตรวจสอบเป็นขั้นตอนตามลำดับชั้นว่าการขีดฆ่าและเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิรับเงินตามพันธบัตรรัฐบาลนั้นถูกต้องหรือไม่ แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ลงลายมือชื่อโดยไม่ใช้ความระมัดระวัง ก่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ และทางพิจารณาโจทก์ก็นำสืบเพื่อให้ศาลเห็นว่ามีขั้นตอนในการตรวจสอบมากมาย แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ตรวจสอบเลยและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ประมาทเลินเล่อไม่ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบและได้เซ็นชื่อตามที่จำเลยที่ 1 กากบาทไว้ให้เซ็นเท่านั้น เช่นนี้แม้ไม่มีระเบียบเป็นลายลักษณ์อักษรกำหนดขั้นตอนในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการขอคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของผู้ใช้ไฟฟ้าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็อาจจะต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์ได้ เพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ควบคุมการทำงานของจำเลยที่ 1 ให้เป็นไปโดยถูกต้องและสุจริต การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3ได้ลงลายมือชื่อดังกล่าวก็เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้มีการตรวจสอบว่าถูกต้องแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะมีระเบียบการปฏิบัติเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ หากจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อด้วยความประมาทเลินเล่อแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลแรงงานไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้ตรงกับข้อกล่าวหาตามคำฟ้องและตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมา ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานพิจารณาพิพากษาความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ตามระเบียบของโจทก์ได้กำหนดให้ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องวางหลักประกันการใช้ไฟฟ้าเป็นเงินสด หรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารหรือพันธบัตรรัฐบาลไว้ต่อโจทก์ สำหรับหลักประกันการใช้ไฟฟ้าที่เป็นพันธบัตรรัฐบาลนั้น ผู้ใช้ไฟฟ้าหรือผู้วางหลักประกันต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในพันธบัตร เมื่อผู้ใช้ไฟฟ้าเลิกใช้ไฟฟ้าและไม่มีหนี้ค่าไฟฟ้าค้างชำระ โจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรกลับคืนให้ผู้ใช้ไฟฟ้าตามเดิม โจทก์จะส่งพนักงานไปรับคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อโจทก์จะลงนามในคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยในพันธบัตรนั้นสั่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายเงินตามพันธบัตรแก่ผู้มีสิทธิรับเงินตามพันธบัตรซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้พิมพ์ชื่อไว้ในคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรแล้ว เดิมจำเลยที่ 1เป็นพนักงานของโจทก์และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ทำหน้าที่เป็นพนักงานบัญชี แผนกประมวลการบัญชีกองการบัญชี ฝ่ายการบัญชีและการเงิน มีหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อผู้มีสิทธิรับเงินตามพันธบัตรคืน การโอนกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรคืนให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าหรือผู้วางหลักประกันดำเนินการเกี่ยวกับการไถ่ถอนพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอน โดยมีหน้าที่เสนอคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรไปตามลำดับชั้นบังคับบัญชา เพื่อให้ผู้อำนวยการฝ่ายการบัญชีและการเงินหรือผู้ทำการแทน ผู้มีอำนาจลงนามแทนโจทก์ สั่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายเงินตามพันธบัตรคืนให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงิน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้พิมพ์ชื่อไว้ในคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของโจทก์ ขณะเกิดเหตุมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการบัญชีและการเงิน มีหน้าที่ควบคุมตรวจสอบสั่งการงานและบังคับบัญชาพนักงานในสังกัดฝ่ายการบัญชีและการเงินซึ่งต้องควบคุมเงินรายได้และเงินรายจ่าย งานเกี่ยวกับการรับและคืนหลักประกันการใช้ไฟฟ้า และเป็นผู้มีอำนาจลงนามในนิติกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ในพันธบัตร รวมทั้งการไถ่ถอนพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอนแทนโจทก์ จำเลยที่ 3 เป็นพนักงานของโจทก์ ขณะเกิดเหตุมีตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายการบัญชีและการเงินมีหน้าที่ช่วยจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับงานอันเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 2 และเป็นผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมทั้งเป็นผู้มีอำนาจลงนามในนิติกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรตลอดจนการไถ่ถอนแทนโจทก์ด้วย เมื่อระหว่างวันที่ 3 มกราคม 2529ถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2530 จำเลยที่ 1 ได้กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ได้สมคบกับบุคคลภายนอกกระทำการทุจริตโดยจำเลยที่ 1 ได้นำคำขอรับคืนเงินต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอนมาขีดฆ่าชื่อผู้มีสิทธิรับเงินตามคำขอดังกล่าวที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้พิมพ์ไว้แต่เดิมออก แล้วเขียนหรือพิมพ์ชื่อบุคคลอื่นให้เป็นผู้มีสิทธิรับเงินตามพันธบัตรแทน แล้วนำเสนอจำเลยที่ 2 หรือจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อกำกับชื่อผู้มีสิทธิรับเงินที่ขีดฆ่าและชื่อบุคคลภายนอก และลงลายมือชื่อสั่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายเงิน เสร็จแล้วจำเลยที่ 1 มอบคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรที่แก้ไขโดยทุจริตดังกล่าวและพันธบัตรให้แก่บุคคลภายนอกไปขอรับเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเหตุให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายต้นเงินและดอกเบี้ยตามพันธบัตรให้แก่บุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่เจ้าของอันแท้จริง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายรวมจำนวน 73 ฉบับ ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อกำกับชื่อผู้มีสิทธิรับเงินคนเดิมที่ขีดฆ่าออกลงลายมือชื่อกำกับชื่อที่พิมพ์หรือเขียนแทนลงไปใหม่ กับได้ลงลายมือชื่อสั่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายเงินในคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรตามที่จำเลยที่ 1 นำเสนอโดยทุจริต ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรไปจำนวน56 ฉบับ จำเลยที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อกำกับชื่อผู้มีสิทธิรับเงินคนเดิมที่ขีดฆ่าออกลงลายมือชื่อกำกับชื่อที่พิมพ์หรือเขียนแทนลงไปใหม่ กับได้ลงลายมือชื่อสั่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายเงินในคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรตามที่จำเลยที่ 1นำเสนอโดยทุจริต ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรไปรวมจำนวน 15 ฉบับ การที่จำเลยที่ 1 กับบุคคลภายนอกสามารถกระทำการทุจริตแก้ไขคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรและไปขอรับเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยอันเป็นการไถ่ถอนพันธบัตร แล้วนำเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวหรือผู้อื่นได้ เพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ได้ลดขั้นตอนการตรวจสอบและการเสนอคำขอรับเงินคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรโดยให้จำเลยที่ 1 เสนอคำขอดังกล่าวต่อจำเลยที่ 2 หรือที่ 3 โดยตรงไม่ต้องผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น อันเป็นการเสี่ยงภัยต่อการทุจริตแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรถ้าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ประมาทเลินเล่อแล้วก่อนที่จำเลยที่ 2 หรือที่ 3 จะลงลายมือชื่อกำกับดังกล่าว และก่อนลงลายมือชื่อสั่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายเงิน จะต้องตรวจสอบว่ามีหลักฐานการมอบอำนาจหรือมอบฉันทะจากผู้มีสิทธิรับเงินคนเดิมที่ถูกขีดฆ่าชื่อออกหรือไม่ จำเลยที่ 2 ที่ 3 อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อโดยไม่มีหลักฐานการมอบอำนาจหรือมอบฉันทะจากผู้มีสิทธิรับเงินคนเดิมที่ถูกขีดฆ่าชื่อออก การกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นการปฏิบัติงานโดยขาดความระมัดระวัง ไม่เอาใจใส่และประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหายขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องคดีของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ไม่มีระเบียบวางไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับการขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ลดขั้นตอนการตรวจสอบ และพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาก็ไม่ปรากฏว่ามีพยานปากใดที่เบิกความยืนยันว่าตอนที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ลงลายมือชื่อไปนั้น ไม่มีหลักฐานการมอบอำนาจหรือมอบฉันทะจากผู้มีสิทธิรับเงินคนเดิมแนบมาด้วย คำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลแรงงานกลางไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในสำนวนและวินิจฉัยข้อเท็จจริงอื่นซึ่งไม่ปรากฏในสำนวน พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเกี่ยวกับการลดขั้นตอนในการตรวจสอบนั้น โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ได้ลงลายมือชื่อกำกับผู้มีสิทธิรับเงินคนเดิมที่จำเลยที่ 1 ขีดฆ่าออกและลงลายมือชื่อกำกับชื่อที่พิมพ์หรือเขียนแทนลงไปใหม่ กับได้ลงลายมือชื่อสั่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายเงินในคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรตามที่จำเลยที่ 1 นำเสนอ การที่จำเลยที่ 1กับพวกสามารถทุจริตและนำเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวได้เพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ โดยจำเลยที่2 ที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชา ได้ลดขั้นตอนการตรวจสอบให้จำเลยที่ 1 เสนอคำขอต่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยตรงไม่ต้องผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น อันเป็นการเสี่ยงต่อการทุจริตแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับผิดเพราะฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่เป็นการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 2ที่ 3 ไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยละเอียดรอบคอบ ไม่จัดให้มีการตรวจสอบเป็นขั้นตอนตามลำดับชั้นว่าการขีดฆ่าและเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิรับเงินตามพันธบัตรรัฐบาลนั้นถูกต้องหรือไม่ แต่จำเลยที่ 2ที่ 3 ลงลายมือชื่อโดยไม่ใช้ความระมัดระวัง ก่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทางพิจารณาโจทก์ยังได้นำสืบพยานบุคคลและพยานเอกสารแสดงถึงขั้นตอนการทำงานในทางปฏิบัติและความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ที่ 3เช่นคำเบิกความของนางสาวปรียา พิศาลบุตร พยานโจทก์ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกบัญชีลูกหนี้ เจ้าหนี้เบิกความว่า การเสนองานที่หน่วยงานของนางสาวปรียานั้น จะเสนองานตามลำดับชั้น โดยเริ่มจากหมวดซึ่งหัวหน้าหมวดจะเสนองานไปยังหัวหน้าแผนก หัวหน้าแผนกจะเสนอไปยังหัวหน้ากอง หัวหน้ากองจะผ่านงานไปยังรองผู้อำนวยการฝ่ายรองผู้อำนวยการฝ่ายเสนอไปยังผู้อำนวยการฝ่ายการบัญชีและการเงินยกเว้นงานพันธบัตรรัฐบาลที่ผู้ใช้ไฟฟ้ามาประกันครบกำหนดไถ่ถอนเฉพาะส่วนที่ผู้ใช้ไฟฟ้ามาติดต่อด้วยตนเองเพื่อนำใบคำขอไปขึ้นเงินกับธนาคารแห่งประเทศไทยเองงานนี้ไม่ผ่านนางสาวปรียา โดยจะผ่านจากหัวหน้าหมวดไปยังผู้อำนวยการฝ่าย นางสาวปรียาสงสัยเคยถามจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 บอกว่า เป็นงานเร่งด่วน นางสาวปรียายังเบิกความยืนยันว่า การปฏิบัติงานที่ไม่ผ่านขั้นตอนนี้ ไม่เคยปรากฏว่าผู้บังคับบัญชาสั่งให้ปฏิบัติงานเช่นนี้ นอกจากนี้โจทก์ยังได้นำสืบถึงระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีสิทธิไถ่ถอนพันธบัตรว่าจะต้องไม่เป็นหนี้กับโจทก์ จำเลยที่ 1ได้นำเงินอื่นมาชำระหนี้แทนผู้ใช้ไฟฟ้าที่พันธบัตรครบกำหนดไถ่ถอนแล้วจึงไถ่ถอนพันธบัตรของผู้ใช้ไฟฟ้านั้นโดยทุจริต การนำสืบของโจทก์เพื่อให้ศาลเห็นว่ามีขั้นตอนในการตรวจสอบมากมาย แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ตรวจสอบเลย นายโพธิ์ อิ่มจิตต์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นประธานกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ก็เบิกความว่า จำเลยที่ 1ให้การชั้นสอบสวนว่า ได้นำคำขอรับคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรที่มีการขีดฆ่าชื่อผู้รับเงินไปให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 เซ็นชื่อโดยไม่มีใบมอบอำนาจ ร้อยตรีดนัย พนมวัน ณ อยุธยา พยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็เบิกความว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ประมาทเลินเล่อไม่ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบและได้เซ็นชื่อตามที่จำเลยที่ 1 กากบาทไว้ให้เห็นเท่านั้น ดังนั้นในการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้อ 4 ที่ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ประมาทเลินเล่อเกี่ยวกับเรื่องพันธบัตรตามที่จำเลยที่ 1 นำเสนอตามฟ้องหรือไม่ ศาลแรงงานกลางจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อตามที่โจทก์นำสืบมาดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ แต่ปรากฏว่าศาลแรงงานกลางไม่ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์เลย นอกจากวินิจฉัยว่าไม่มีระเบียบเป็นลายลักษณ์อักษรกำหนดขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3ได้ลดขั้นตอนการตรวจสอบ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำโดยประมาทเลินเล่อ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ไม่มีระเบียบเป็นลายลักษณ์อักษร จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็อาจจะต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์ได้ เพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของจำเลยที่ 1 ให้เป็นไปโดยถูกต้องและสุจริต การที่จำเลยที่ 2ที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อดังกล่าวก็เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้มีการตรวจสอบว่าถูกต้องแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะมีระเบียบการปฏิบัติเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ หากจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อด้วยความประมาทเลินเล่อแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ตามคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางที่ว่า ไม่มีระเบียบเป็นลายลักษณ์อักษรและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ลดขั้นตอนการตรวจสอบ จึงฟังว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ประมาทเลินเล่อโดยไม่ได้วินิจฉัยว่าการลงลายมือชื่อกำกับของจำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยไม่ตรวจสอบเป็นการประมาทเลินเล่อแล้วหรือไม่ จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ตรงกับพยานหลักฐานในสำนวน นอกจากโจทก์ยังกล่าวหาในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่ออีกประการหนึ่งคือ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อโดยไม่มีหลักฐานการมอบอำนาจหรือมอบฉันทะจากผู้มีสิทธิรับเงินคนเดิมที่ถูกขีดฆ่าชื่อออกการกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นการปฏิบัติงานโดยขาดความระมัดระวังไม่เอาใจใส่และประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทข้อ 3 เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 ว่า รับฟังไม่ได้ว่าผู้ใช้ไฟฟ้าทั้ง 73 ราย ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้พวกของจำเลยที่ 1 ไปรับเงินแทน แต่ในประเด็นข้อพิพาทข้อ 4 กลับวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า ตอนที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ลงลายมือชื่อกำกับตามฟ้อง ไม่มีหลักฐานการมอบอำนาจหรือมอบฉันทะจากผู้มีสิทธิรับเงินคนเดิมที่ถูกขีดฆ่าชื่อออกจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางรับฟังในประเด็นข้อพิพาทข้อ 3 แล้วว่า ผู้ใช้ไฟฟ้าคนเดิมทั้ง 73 ราย ไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้พวกของจำเลยที่ 1 ไปรับเงินแทน ข้อเท็จจริงในคดีจะฟังได้เช่นเดียวกันหรือไม่ว่า ในขณะที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ลงลายมือชื่อกำกับไปตามฟ้องนั้น ไม่มีหนังสือมอบอำนาจจากผู้ใช้ไฟฟ้าคนเดิม ศาลแรงงานกลางยังวินิจฉัยด้วยว่า ตอนที่จำเลยที่ 1 นำใบขอคืนต้นเงินและดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลมาให้จำเลยที่ 2 ที่ 3ลงนามนั้นอาจมีหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยที่ 1 ทำขึ้นเองแนบมาด้วยก็ได้ คำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลแรงงานกลางไม่แน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 มีหนังสือมอบอำนาจหรือไม่ และหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยที่ 1ทำขึ้นเองนั้นเป็นของผู้ใด ด้วยเหตุผลดังวินิจฉัยข้างต้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลแรงงานกลางยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้ตรงกับข้อกล่าวหาตามคำฟ้องและตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมา อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 เห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ใหม่
สำหรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เพราะเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
พิพากษายืนเฉพาะคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share