แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำฟ้องโจทก์มีเนื้อหาเกินควรกว่าที่จำเป็นและมีมากตอนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ อาทิ ฟ้องข้อ 1 ใช้ถ้อยคำว่า ข้อหาหรือฐานความผิดระหว่างพิจารณาเนื้อหาสาระผลงาน มาตรา 17, 24, 26 และ 27 พร้อมกฎกระทรวงฉบับที่ 21 และยื่นคำขอเป็นครั้งแรกละเมิดมาตรา 24, 25 และ 26 และข้อหาหรือฐานความผิดเบื้องหลังผลงานพ้นจากมาตรา 24, 25, 26 ไปแล้ว และได้เข้าสู่มาตรา 27 หรือในข้อ 2 มีถ้อยคำว่า ข้อหาหรือฐานความผิดละเมิดผิดสัตยาบรรณ รับรองผลไม่เสียหาย ซึ่งอ่านแล้วไม่เข้าใจว่าโจทก์ถูกจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายในเรื่องใด หรือการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร หรือฟ้องข้อ 3 มีข้อความว่า ข้อหาหรือฐานความผิด คำสั่งยกคำขอมิชอบด้วยกฎหมายโดยโจทก์กล่าวหาผู้อำนวยการสำนักสิทธิบัตรว่าเซ็นคำสั่งยกคำขอไม่ถูกต้องเพราะจะปฎิบัติราชการแทนอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญามิได้เนื่องจากไปขัดข้ามตำแหน่งทางปกครองระดับกรมของรองอธิบดีซึ่งปกครองระดับสำนักงานและเป็นตำแหน่งโปรดเกล้าฯ เป็นต้น จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่แสดงให้พอเข้าใจได้ถึงสภาพและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตลอดจนคำขอบังคับอีกด้วย ทั้งคำฟ้องของโจทก์ยังมีความฟุ่มเฟือย อ่านไม่เข้าใจจึงเป็นคำฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางตรวจคำฟ้องที่ยื่นในครั้งแรกแล้ว มีคำสั่งว่าคำฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยประมวลกฎมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 จึงให้คืนคำฟ้องแก่โจทก์เพื่อทำมาใหม่ให้ถูกต้องตามมาตรา 18 ต่อมาโจทก์ทำคำฟ้องมายื่นใหม่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางตรวจคำฟ้องฉบับที่โจทก์นำมายื่นใหม่แล้วมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่ได้ปฎิบัติตามคำสั่งของศาล โดยคำฟ้องยังคงเขียนฟุ่มเฟือยและอ่านไม่เข้าใจ เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่รับคำฟ้องของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับวิธีพิจารณาความซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 บัญญัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าวและตามข้อกำหนดในกรณีที่ไม่มีบัญญัติไว้ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม ดังนั้น การฟ้องคดีแพ่งต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง นอกจากจะต้องมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายแพ่งหรือจะต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้วกฎหมายยังได้กำหนดกรอบของคำฟ้องไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาแพ่ง มาตรา 67 และข้อกำหนดคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2540 ข้อ 6 รวมความว่า คำฟ้องจะต้องทำตามแบบพิมพ์ของศาลและต้องแสดงให้พอเข้าใจได้ถึงสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับ โดยมีคำอธิบายเป็นสังเขปไว้ในมาตรา 18 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่า คำฟ้องต้องสามารถอ่านออก อ่านเข้าใจ ไม่เขียนฟุ่มเฟือย ต้องมีรายการและมีลายมือชื่อคู่ความ เป็นอาทิ ซึ่งชั้นตรวจรับคำฟ้องฉบับที่โจทก์ยื่นมาในครั้งแรก ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้คืนคำฟ้องเพื่อให้โจทก์ไปจัดทำมาใหม่โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องคดีเองและบรรยายฟ้องอ่านไม่เข้าใจ ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 จึงมีคำสั่งคืนคำฟ้องเพื่อให้โจทก์ไปจัดทำมาใหม่โดยมีข้อแนะนำประกอบ แต่เมื่อโจทก์นำคำฟ้องมายื่นใหม่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา โดยวินิจฉัยว่า คำฟ้องโจทก์เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นคำฟ้องที่ไม่แสดงให้พอเข้าใจได้ถึงสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับเพราะไม่อาจเข้าใจได้ว่า โจทก์ถูกจำเลยคนใดโต้แย้งสิทธิในเรื่องใดและจะบังคับจำเลยคนใดอย่างใด ทั้งจำเลยที่ 2 ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลถูกฟ้องได้ด้วยเหตุใด จึงเป็นปัญหาในชั้นนี้ว่าคำฟ้องที่โจทก์นำมายื่นใหม่นั้นถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ที่นำมายื่นใหม่เนื้อหาสาระยังคงเดิมเกือบทุกประการโดยเฉพาะในส่วนคำบรรยายฟ้องที่มีความฟุ่มเฟือย กล่าวคือ มีเนื้อหาเกินควรกว่าที่จำเป็นและมีมากตอนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ อาทิ ฟ้องข้อ 1 ใช้ถ้อยคำว่า ข้อหาหรือฐานความผิดระหว่างพิจารณาเนื้อหาสาระผลงาน มาตรา 17, 24, 25, 26 และ 27 พร้อมกฎกระทรวงฉบับที่ 21 และยื่นคำขอเป็นครั้งแรกละเมิดมาตรา 24, 25 และ 26 และข้อหาหรือฐานความผิดเบื้องหลังผลงานพ้นจากมาตรา 24, 25 26 ไปแล้ว และได้เข้าสู่มาตรา 27 หรือในข้อ 2 มีถ้อยคำว่า ข้อหาหรือฐานความผิด ละเมิดผิดสัตยาบรรณ รับรองผลไม่เสียหาย ซึ่งอ่านแล้วไม่เข้าใจว่า โจทก์ถูกจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายในเรื่องใด หรือการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร หรือฟ้องข้อ 3 มีข้อความว่า ข้อหาหรือฐานความผิดคำสั่งยกคำขอมิชอบด้วยกฎหมายโดยโจทก์กล่าวหาผู้อำนวยการสำนักสิทธิบัตรว่าเซ็นคำสั่งยกคำขอไม่ถูกต้องเพราะจะปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญามิได้เนื่องจากไปขัดข้ามตำแหน่งทางปกครองระดับกรมของรองอธิบดีซึ่งปกครองระดับสำนักงานและเป็นตำแหน่งโปรดเกล้าฯ เป็นต้น คำฟ้องโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่แสดงให้พอเข้าใจได้ถึงสภาพและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตลอดจนคำขอบังคับอีกด้วย ทั้งคำฟ้องของโจทก์ยังมีความฟุ่มเฟือย อ่านไม่เข้าใจจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามข้อกำหนดและบทมาตราดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณานั้นชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.