คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8386/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยให้การว่า ที่ดินเป็นของจำเลยโดยซื้อมาจาก ว. และจำเลยครอบครองทำประโยชน์เกินกว่าหนึ่งปี ตามคำให้การของจำเลยไม่มีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสองเพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น จึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 804 เนื้อที่ 49 ไร่ 3 งาน90 ตารางวา จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 803 เนื้อที่ 30 ไร่ 2 งาน 83 ตารางวาซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโจทก์ทางทิศเหนือ เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2534จำเลยได้ทำถนนลูกรังและรั้วลวดหนามในที่ดินโจทก์ เนื้อที่ประมาณ35 ไร่ และในเดือนมิถุนายน 2534 จำเลยนำต้นมะม่วงไปปลูกในที่ดินดังกล่าว การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยรื้อถอนรั้วลวดหนาม ถนนลูกรัง พร้อมทั้งต้นมะม่วงประมาณ 100 ต้นออกไปจากที่ดินของโจทก์และทำที่ดินของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนเสร็จเรียบร้อย
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยซื้อมาจากนางสาววิไล วิลัยเกษตร หลังจากนั้นจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2532 โดยทำถนนลูกรัง รั้วลวดหนาม และปลูกมะม่วงเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์ไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยรื้อถอนรั้วลวดหนามถนนลูกรังต้นมะม่วง ออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และทำที่ดินพิพาทให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไปกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนรั้วลวดหนาม ถนนลูกรัง และต้นมะม่วงออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
พิพากษาภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทในกรอบเส้นสีดำเขียวเนื้อที่ 36 ไร่ 1 งาน 89 ตารางวาตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกมาตรา 1375 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์โดยที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อมาจากนางวิไล วิลัยเกษตร และจำเลยครอบครองทำประโยชน์เกินกว่าหนึ่งปีตามคำให้การของจำเลยไม่มีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ จึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรคสอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ดังนั้น เมื่อจำเลยยกเหตุเป็นข้อต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดเวลาหนึ่งปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีเกินหนึ่งปีนับแต่ถูกจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง จึงเป็นการไม่ชอบฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share