คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8381/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นให้ดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อยุ่งยากซึ่ง ป.วิ.พ. มาตรา 196 วรรคสอง ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ เว้นแต่มาตาม 190 จัตวา มาใช้บังคับ โดยมาตรา 193 ทวิ วรรคหนึ่ง (เดิม) ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ให้อำนาจแก่ศาลที่จะมีคำสั่งจำหน่ายคดี หากปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งให้มาศาลตามมาตรา 193 แล้วไม่มาในวันนัดพิจารณาโดยมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลให้ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป แสดงว่าการดำเนินคดีไม่มีข้อยุ่งยาก หากโจทก์ทราบนัดแล้วไม่ได้ขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุข้อข้องที่ไม่มาศาล ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี ซึ่งเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำมาตรา 198 ทวิ มาใช้บังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 394,956.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ของต้นเงิน 358,327.59 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเบี้ยประกันภัยครั้งละ 650.56 บาท สามปีต่อครั้ง นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2549 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระหนี้เสร็จให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
ในวันนัดให้การพร้อมสืบพยานโจทก์และจำเลย ไม่มีคู่ความมาศาล ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่า โจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ถือว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล และให้ยกฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ ค่าขึ้นศาลให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่โจทก์ไม่มาในวันนัดพิจารณาถือเป็นเหตุที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถือว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลและให้ยกฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นรับฟ้องเป็นคดีไม่มีข้อยุ่งยากและให้พิจารณาอย่างคดีมโนสาเร่โดยนัดพิจารณาในวันที่ 14 ธันวาคม 2548 เวลา 9 นาฬิกา เพื่อทำการไกล่เกลี่ย ให้จำเลยทั้งสองให้การและสืบพยานโจทก์ในวันเดียวกัน ถึงวันนัดไม่มีคู่ความฝ่ายใดมาศาล เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นให้ดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 196 วรรคสอง บัญญัติให้นำบทบัญญัติว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ เว้นแต่มาตรา 190 จัตวา มาใช้บังคับ โดยมาตรา 193 ทวิ วรรคหนึ่ง ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ให้อำนาจแก่ศาลที่จะมีคำสั่งจำหน่ายคดี หากปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งให้มาศาลตามมาตรา 193 แล้วไม่มาในวันนัดพิจารณาโดยมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลให้ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ตามบทบัญญัติดังกล่าวแสดงว่าการดำเนินคดีไม่มีข้อยุ่งยาก หากโจทก์ทราบนัดแล้วไม่ได้ขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาล ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี ซึ่งเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว กรณีจึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ มาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถือว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลและให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะโจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคห้า จึงเป็นการไม่ชอบ อุทธรร์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์อุทธรณ์ขอให้แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาในทุนทรัพย์ 394,956.38 บาท จึงเสียเกินมา เห็นสมควรคืนส่วนที่เกินแก่โจทก์”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำหน่ายคดีโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 ทวิ วรรคหนึ่ง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share