คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 835/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประธานอนุกรรมการช่วยเหลือชาวนาชาวไร่เรียกจำเลยทั้งสองมาฝ่ายเดียวไกล่เกลี่ยให้ขายที่พิพาทให้แก่โจทก์จำเลยทั้งสองว่าถ้าโจทก์จะซื้อจำเป็นต้องขายในราคา 40,000 บาท จึงได้ทำบันทึกไว้ ต่อมาอีกสามวันประธานอนุกรรมการฯ ได้เรียกโจทก์ฝ่ายเดียวมาไกล่เกลี่ยโจทก์ตกลงซื้อที่พิพาทในราคา 40,000 บาท จึงได้ทำบันทึกไว้อีกบันทึกดังกล่าวทำขึ้นคนละคราว ผู้บันทึกได้ทำบันทึกในฐานะเป็นประธานอนุกรรมการฯ ไม่ใช่เป็นคู่สัญญาในฐานะตัวแทนของโจทก์หรือจำเลย ข้อตกลงตามบันทึกเอกสารฉบับแรกมิใช่คำเสนอต่อโจทก์ข้อตกลงตามบันทึกเอกสารฉบับหลังมิใช่คำสนอง หากเป็นเพียงคำเสนอเมื่อจำเลยไม่ยอมขาย คำเสนอของโจทก์ก็ไม่มีการสนองรับ จึงยังไม่เกิดสัญญาขึ้นอันจะบังคับเอาแก่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับสามีได้ขายฝากที่ดินมี น.ส.3 เนื้อที่ 20 ไร่เศษ แก่จำเลยทั้งสองในราคา 10,000 บาท กำหนดไถ่ถอนคืนใน 5 ปี ต่อมาเมื่อที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองได้บันทึกประนีประนอมยอมความต่อหน้าอนุกรรมการช่วยเหลือชาวนาชาวไร่ประจำอำเภอตาคลีมีความว่า จำเลยทั้งสองยินยอมที่จะให้โจทก์ซื้อที่ดินคืนในวงเงิน 40,000 บาท โจทก์ยอมรับซื้อในราคานั้น แต่จำเลยกลับบิดพลิ้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนขายที่ดินดังกล่าวข้างต้นให้แก่โจทก์ในราคา 40,000 บาท หรือใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า เมื่อที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้ว โจทก์ได้ไปร้องเรียนต่อกรรมการช่วยเหลือชาวนา ประธานกรรมการช่วยเหลือชาวนาได้พูดเป็นเชิงบังคับจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองจึงตกลงกับกรรมการช่วยเหลือชาวนายอมจะขายนาคืนให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์มาตกลงกับประธานกรรมการฯ จะซื้อนาคืนโดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย คำของจำเลยที่บันทึกไว้มิได้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

คู่ความรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองยินยอมจะขายที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ราคา 40,000 บาท โดยให้ถ้อยคำดังกล่าวต่อร้อยตำรวจเอกวิโรจน์ประธานอนุกรรมการช่วยเหลือชาวนาชาวไร่ซึ่งทำบันทึกให้ไว้ตามภาพถ่ายเอกสาร จ.1 และโจทก์ได้ให้ถ้อยคำตกลงรับซื้อที่ดินคืนจากจำเลยต่อร้อยตำรวจเอกวิโรจน์ตามภาพถ่ายบันทึกเอกสาร จ.2 ต่อมาร้อยตำรวจเอกวิโรจน์ได้สอบถามโจทก์จำเลยทั้งสองพร้อมกัน จำเลยปฏิเสธไม่ยอมขายที่ดินตามภาพถ่ายบันทึกเอกสาร จ.3

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ พิพากษากลับให้จำเลยโอนขายที่พิพาทให้แก่โจทก์หรือให้ใช้ค่าเสียหาย

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ร้อยตำรวจเอกวิโรจน์ประธานอนุกรรมการช่วยเหลือชาวนาชาวไร่เป็นเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. 2517 ที่พิพาทเดิมเป็นของโจทก์ แต่ได้ขายให้จำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์ขอทำประโยชน์ในที่พิพาท จำเลยไม่ยินยอม โจทก์จึงไปร้องเรียนต่อร้อยตำรวจเอกวิโรจน์ขอให้เรียกจำเลยมาตกลงไกล่เกลี่ย วันที่ 3 มกราคม 2518 ร้อยตำรวจเอกวิโรจน์ได้เรียกจำเลยทั้งสองฝ่ายเดียวมาไกล่เกลี่ย จำเลยทั้งสองว่าถ้าโจทก์จะซื้อจำเป็นต้องขายในราคา 40,000 บาท ได้บันทึกไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 วันที่ 6 มกราคมปีเดียวกัน ร้อยตำรวจเอกวิโรจน์เรียกโจทก์ฝ่ายเดียวมาไกล่เกลี่ย โจทก์ตกลงซื้อที่พิพาทคืนในราคา 40,000 บาท ได้บันทึกไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 ต่อมาจำเลยทั้งสองไม่ยอมขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ แล้ววินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ทำขึ้นคนละคราวโดยร้อยตำรวจเอกวิโรจน์เป็นผู้บันทึก โดยทำบันทึกในฐานะเป็นประธานอนุกรรมการช่วยเหลือชาวนาชาวไร่ไม่ใช่เป็นคู่สัญญาในฐานะตัวแทนของโจทก์หรือของจำเลย และข้อตกลงตามเอกสาร จ.1 ก็ยังมิใช่คำเสนอต่อโจทก์ ส่วนข้อตกลงตามเอกสาร จ.2 นั้นมิใช่คำสนอง เป็นเพียงคำเสนอของโจทก์ที่จะซื้อที่พิพาทคืนในราคา 40,000 บาทเท่านั้น เมื่อจำเลยปฏิเสธไม่ยอมขายให้ตามเอกสาร จ.3 คำเสนอของโจทก์จึงไม่มีการสนองรับ จึงยังไม่เกิดสัญญาขึ้น โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับจำเลยขายที่พิพาทหรือเรียกค่าเสียหาย

พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

Share