คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1300/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่ครอบครองที่ดินมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน แม้จะมิได้แจ้งการครอบครองไว้ ก็หาทำให้เสียสิทธิครอบครองไปไม่ เป็นแต่เพียงจะยกขึ้นยันรัฐในการที่รัฐจะจัดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน หรือยันบุคคลผู้ได้สิทธิมาจากรัฐในการจัดที่ดินไม่ได้เท่านั้น ตราบใดที่รัฐมิได้เข้าจัดที่ดินนั้น ผู้นั้นยังมีสิทธิครอบครอง
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ และมาตรา 59 ทวิ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ผู้ครอบครองที่ดินมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน แต่มิได้แจ้งการครอบครองไว้รวมทั้งผู้ครอบครองต่อเนื่องจากบุคคลดังกล่าวมีสิทธิขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ เมื่อมีการเดินสำรวจรังวัดในท้องที่นั้นหรือเมื่อมีความจำเป็นอาจจะขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายก็ได้
โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ครอบครองตลอดมาแต่มิได้แจ้งการครอบครองไว้ ได้ขอให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ จำเลยโต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ให้งดการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ครอบครองมา แต่มิได้แจ้งการครอบครองไว้ ได้ขอให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ จำเลยอ้างว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์ให้งดการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ ให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์

จำเลยให้การว่า ที่ดินที่โจทก์ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ร่วมกัน โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองไม่มีสิทธิใด ๆ และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย แล้ววินิจฉัยว่าที่พิพาทไม่มีหนังสือแสดงสิทธิครอบครอง โจทก์ครอบครองฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9 จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทให้โจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่าตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 5 วรรคสอง ซึ่งถูกยกเลิกไปโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 บัญญัติว่า ถ้าผู้ครอบครองไม่แจ้งการครอบครองภายในกำหนด ให้ถือว่าผู้ครอบครองเจตนาสละสิทธิครอบครองที่ดิน รัฐมีอำนาจจัดที่ดินนั้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ฯลฯตามบทบัญญัติดังกล่าวนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าการไม่แจ้งการครอบครองที่ดินหาทำให้ผู้ครอบครองเสียไปซึ่งสิทธิครอบครองไม่ เป็นแต่เพียงจะยกขึ้นยันรัฐในการที่รัฐจะจัดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน หรือยันบุคคลผู้ได้สิทธิมาจากรัฐในการจัดที่ดินไม่ได้เท่านั้น ต่อมาเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดินโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 บังคับใช้วันที่ 4 มีนาคม 2515 มาตรา 58 ทวิ และ 59 ทวิ ได้บัญญัติให้ผู้ครอบครองที่ดินมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดินแต่มิได้แจ้งการครอบครองไว้ รวมทั้งผู้ครอบครองต่อเนื่องจากบุคคลดังกล่าวมีสิทธิขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ เมื่อมีการเดินสำรวจรังวัดในท้องที่นั้น หรือเมื่อมีความจำเป็นอาจขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายก็ได้ ดังนั้น ผู้ครอบครองที่ดินมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดินนั้น แม้จะมิได้แจ้งการครอบครองไว้ก็ตาม เมื่อรัฐยังมิได้เข้าไปจัดที่ดินแล้ว ย่อมยังมีสิทธิครอบครองอยู่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ครอบครองตลอดมา แต่มิได้แจ้งการครอบครองไว้ได้ขอให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ จำเลยโต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ ให้งดการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ โดยที่คดีนี้ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยต่อไปอีก ที่ศาลชั้นต้นด่วนสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้วพิพากษาคดีไปนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่

Share