คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 835/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับเงินชำระหนี้ 2,000 บาทแล้วคืนที่ดินที่โจทก์ให้จำเลยไว้เป็นประกันจำเลยให้การว่าที่ดินเป็นของจำเลยโจทก์นำสืบพยานได้ความว่าโจทก์กู้เงินนายน้อย หาได้กู้เงินจำเลยไม่ศาลจะบังคับให้จำเลยรับชำระหนี้ไม่ได้ต้องพิพากษายกฟ้อง

ย่อยาว

คดีเรื่องนี้โจทก์ฟ้องกล่าวความว่า ที่นากับที่สวนรายพิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้อง อยู่ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นของโจทก์และนายผลัดสามีครอบครองมาราว 20 ปี เมื่อ 7-8 ปีมานี้นายผลัดเอาที่รายพิพาทไปประกันหนี้กับผู้มีชื่อ เป็นเงิน 300 บาทโดยมีสัญญาว่ามีเงินเมื่อใดยอมให้ไถ่ถอนคืน อีก 2 ปีนายผลัดตายโจทก์ได้ไปเอาเงินเพิ่มจากเจ้าหนี้เดิมอีก 400 บาท เพื่อทำศพนายผลัด ครั้นเมื่อ 2-3 ปีมานี้ จำเลยผู้เป็นบิดานายผลัดได้ไถ่ถอนที่ดินรายพิพาทจากผู้มีชื่อมาในนามของโจทก์เป็นเงิน 700 บาท และเมื่อ 8 เดือนมานี้ โจทก์ให้บุตรไปเอาเงินเพิ่มจากจำเลยอีก 1,300 บาท รวมเก่าเป็น 2,000 บาทโดยเอาที่ดินรายพิพาทเป็นประกันหนี้บัดนี้โจทก์ไปขอไถ่ถอนที่รายพิพาทคืนต่อจำเลย จำเลยไม่ยอมให้ไถ่เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย เพราะขาดประโยชน์ในที่ดิน จึงขอให้บังคับจำเลยรับเงิน 2,000 บาท จากโจทก์และมอบคืนที่รายพิพาทแก่โจทก์ห้ามมิให้เกี่ยวข้องต่อไป และเรียกค่าเสียหายเฉพาะปี พ.ศ. 2495เป็นเงิน 500 บาท ปีต่อ ๆ ไปปีละ 800 บาท จนกว่าจะมอบที่ดิน

จำเลยต่อสู้ว่าที่ดินรายพิพาทเป็นของจำเลย มอบนายผลัดไปเพียงให้อาศัยทำกินเท่านั้น เมื่อนายผลัดตายแล้ว โจทก์ก็ออกจากที่รายนี้ไปอยู่ที่อื่นและมีสามีใหม่ ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่รายนี้อีก จำเลยได้ครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมา คดีของโจทก์ขาดอายุความทั้งทางมรดกและสิทธิครอบครองและโจทก์เป็นหญิงมีสามีจะฟ้องคดีโดยลำพังไม่ได้

ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาแล้ว เห็นว่า นายสิงเป็นสามีโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงฟ้องคดีได้เอง และวินิจฉัยว่าที่ดินรายพิพาทนี้ จำเลยแบ่งยกให้แก่นายผลัดกับโจทก์เสร็จเด็ดขาดไปแล้วหาใช่ให้อาศัยทำกินไม่ นายผลัดได้มอบที่รายนี้ให้แก่เจ้าหนี้คือนายทวีหรือนางชิบแม่ยายของนายทวีทำกินต่างดอกเบี้ย ครั้นนายผลัดตายแล้วจำเลยได้ไถ่ถอนที่รายนี้คืน และครอบครองตลอดมา 2-3 ปีแล้วโจทก์ออกจากที่รายนี้ไปอยู่ที่อื่นจนไปได้สามีใหม่ ไม่สงวนสิทธิในที่รายนี้เสียแล้ว จึงขาดสิทธิครอบครอง และพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าทนาย 75 บาท แทนจำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นพ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยได้แบ่งที่พิพาทยกให้แก่นายผลัดและโจทก์เป็นเด็ดขาดแล้วมิใช่ให้อาศัยทำกิน แต่วินิจฉัยว่า การที่จำเลยไถ่ถอนที่พิพาทจากเจ้าหนี้เดิมมายึดถือสืบต่อมานั้น ไม่ใช่ยึดถือเพื่อตน หากเพื่อประโยชน์ของลูกหลานต่อไป และโจทก์ไม่ได้สละการครอบครองให้แก่จำเลย จึงมีสิทธิที่จะไถ่ถอนคืนได้ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยรับเงินจากโจทก์ 2,000 บาท แล้วส่งมอบที่พิพาทคืนให้โจทก์ และห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 500 บาท พร้อมทั้งใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 2 ศาล โดยให้ค่าทนายรวม 200 บาท แทนโจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว

ข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่พิพาทแปลงนี้ จำเลยได้ยกให้แก่นายผลัดและโจทก์ตั้งแต่ที่ยังเป็นป่า นายผลัดและโจทก์ได้ก่นสร้างทำเป็นสวนเป็นนาและปลูกเรือนอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย และครอบครองตลอดมาได้ราว 20 ปีแล้ว นายผลัดตายมาได้ราว 6 ปี ก่อนตายสัก 2 ปีนายผลัดและนางรอดมารดาได้ไปกู้เงินนางชิบแม่ยายนายทวีมา 300 บาทมอบที่รายพิพาทให้ทำกินต่างดอกเบี้ย ครั้นนายผลัดตาย นางรอดได้ไปกู้เงินเพิ่มมาอีก 2 คราว ๆ ละ 200 บาท เพื่อทำบุญและทำศพนายผลัดจึงรวมหนี้เป็น 700 บาท เมื่อ 2-3 ปีมานี้ นางรอดได้ชำระเงินกู้ 700 บาทแก่เจ้าหนี้เสร็จสิ้นไปแล้ว จำเลยสามีนางรอดได้ครอบครองที่พิพาทต่อมา ก่อนฟ้องราว 8 เดือน โจทก์ให้นายวันหรือมงผู้เป็นบุตรไปเอาเงินจากจำเลยอีก 1,300 บาท นายวันหรือมงไปกู้จากนายน้อยบุตรเขยจำเลย ทำสัญญากู้เป็นจำนวน 2,000 บาท โดยเอาหนี้เก่า700 บาทรวมเข้าด้วย มอบที่รายพิพาทให้ทำกินต่างดอกเบี้ยต่อไปบัดนี้ โจทก์ไปขอไถ่ถอนที่พิพาทคืนจากจำเลย จำเลยไม่ยอมให้ไถ่โจทก์ไปร้องต่ออำเภอจำเลยให้ถ้อยคำต่ออำเภอว่า “ข้าพเจ้าได้เอาเงินนางชิบมา 2 คราว รวม 700 บาทมอบที่นาให้ทำกินต่างดอกเบี้ยและข้าพเจ้าได้ไถ่ถอนกลับคืนจากนางชิบมาแล้ว นายมงบุตรของนายผลัดมาเอาเงินจากข้าพเจ้าอีก 1,300 บาท โดยเอาที่ดินนี้เป็นประกันกับนางมะเจ้าของเงิน ข้าพเจ้าเป็นคนมอบเงินให้กับนายมงเองการที่นางจิมาขอไถ่ถอนนี้ข้าพเจ้าไม่ยอม ถ้านายมงบุตรของนางจิมมาไถ่ถอนข้าพเจ้ายินยอมให้ เพราะที่ดินแปลงนี้ข้าพเจ้าจะให้กับนายมงและน้อง ๆ ของนายมง” อำเภอเปรียบเทียบไม่ตกลง โจทก์จึงได้นำคดีมาฟ้องดังนี้

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีเรื่องนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับเงิน 2,000 บาท จากโจทก์ แล้วให้มอบคืนที่รายพิพาทแก่โจทก์ แต่การนำสืบของโจทก์กลับปรากฏจากคำให้การของนายเพียรสายชนะพันธุ์ ผู้เขียนสัญญากู้ว่า นายวันกู้เงินนายน้อยบุตรเขยของจำเลยเอาที่รายพิพาทลงในสัญญาเป็นประกันเงินกู้ และตัวจำเลยให้การว่านายวันกู้เงินนายน้อย หาได้กู้เงินของจำเลยไม่ ดังนี้แล้ว การขอชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญานั้น ก็ต้องชำระต่อนายน้อยผู้ให้กู้จึงจะชอบ จะมาขอให้บังคับจำเลยรับชำระหนี้ดังนี้กระไรได้นายน้อยจะมีข้อต่อสู้ประการใดหรือไม่ก็ไม่ทราบ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องนายน้อยร่วมเข้ามาด้วย และนายน้อยไม่ได้เข้ามาเบิกความเป็นพยานในคดีเรื่องนี้เลย จึงเป็นเรื่องที่ศาลจะบังคับจำเลยให้ตามฟ้องของโจทก์ยังไม่ได้ แม้ถึงว่าจำเลยจะปฏิเสธไม่ยอมให้ไถ่ถอนคืนตั้งแต่ชั้นอำเภอ และชั้นศาลมิได้ให้การต่อสู้คดีกล่าวอ้างถึงเรื่องนายน้อยเลยก็ดี

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้ยกฟ้องของโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิในการฟ้องร้องใหม่ในทางที่ควรค่าฤชาธรรมเนียมในคดีเรื่องนี้ให้เป็นพับทั้ง 3 ศาล

Share