แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่า โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2ที่ 3 รับซื้อฝากที่พิพาทโดยทุจริตแต่อย่างใด โจทก์อ้างเพียงว่า สัญญาขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นโมฆะ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจขายฝากที่พิพาทเท่านั้น จำเลยที่ 2ที่ 3 จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า รับซื้อฝากที่พิพาทไว้โดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6
การที่ตัวการลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่กรอกข้อความไว้ ภายหลังจำเลยที่ 1 โดยทุจริตได้นำใบมอบอำนาจดังกล่าวไปกรอกข้อความแล้วขายฝากที่พิพาทให้จำเลยที่ 2ที่ 3 เป็นกรณีเข้าลักษณะความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 822 ซึ่งเป็นเรื่องที่ตัวแทนคือจำเลยที่ 1 ทำการเกินอำนาจตัวแทน แต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่า การอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทน ตัวการจึงต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของตัวการย่อมไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการขายฝากดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของ ม. บิดาโจทก์ซึ่งถึงแก่กรรมแล้ว ม.ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้โจทก์และทายาทคนอื่น แต่โจทก์และทายาทไม่สามารถครอบครองที่ดินนั้นได้เพราะจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งนำใบมอบอำนาจที่ ม.มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ ไปแบ่งแยกโฉนดที่ดินให้โจทก์และทายาทอื่นไปกรอกข้อความเท็จ โดยนำที่ดินดังกล่าวไปจำนองไว้กับธนาคารและไถ่ถอนจำนองแล้วขายฝากให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ โดยมิได้ไถ่ถอนคืนจากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้จำเลยที่ ๔ โดยเสน่หา สัญญาขายฝากระหว่างจำเลยที่ ๑กับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นโมฆะ และสัญญาให้ที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ไม่มีผลตามกฎหมายขอให้พิพากษาว่านิติกรรมขายฝากที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนนิติกรรมและให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบทรัพย์พิพาทให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยพร้อมทั้งส่งมอบโฉนดที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ม.มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ขายฝากที่พิพาทแก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และได้จดทะเบียนขายฝากโดยชอบและสุจริต จำเลยที่ ๒ ที่ ๓รับซื้อฝากโดยสุจริต จดทะเบียน และเสียค่าตอบแทน จึงมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท จำเลยที่ ๔ รับโอนที่พิพาทจากจำเลยที่ ๒ โดยเสน่หาและสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒และที่ ๓ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๘๑ ในสภาพเรียบร้อยดังเดิมให้แก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๑ ถึงแก่กรรม นายเถลิงศักดิ์ จั่นบำรุง ทายาทของจำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่า โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ รับซื้อฝากที่พิพาทโดยทุจริตแต่อย่างใด โจทก์อ้างเพียงว่า สัญญาขายฝากระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นโมฆะเพราะจำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจขายฝากที่พิพาทเท่านั้น จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานเบื้องต้นของกฎหมายว่ารับซื้อฝากที่พิพาทไว้โดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖ ซึ่งบัญญัติว่า ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ รับซื้อฝากที่พิพาทจากจำเลยที่ ๑ โดยสุจริต แม้หากข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ขุนมนูญประศาสน์ลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือมอบอำนาจ โดยไม่ได้กรอกข้อความไว้ และภายหลังจำเลยที่ ๑ นำใบมอบอำนาจดังกล่าวไปกรอกข้อความแล้วขายฝากที่พิพาทให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ โดยทุจริต อันเป็นการยักยอกลายมือชื่อของขุนมนูญประศาสน์ก็ตาม ก็หามีผลกระทบต่อสิทธิของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ผู้รับซื้อฝากโดยสุจริตไม่เพราะการที่ขุนมนูญประศาสน์ตัวการมอบอำนาจในลักษณะเช่นนั้น เป็นกรณีเข้าลักษณะความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๒ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตัวแทนคือจำเลยที่ ๑ ทำการเกินอำนาจตัวแทน แต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่า การอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทน ตัวการจึงต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริต ดังนั้น ขุนมนูญประศาสน์ จึงต้องรับผิดผูกพันตามสัญญาขายฝากที่พิพาทดังกล่าวต่อจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และแม้จำเลยที่ ๑ ผู้กรอกข้อความจะถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานก็ไม่ทำให้สิทธิของบุคคลภายนอกเสียไปด้วย สัญญาขายฝากที่พิพาทหาตกเป็นโมฆะไม่ โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของขุนมนูญประศาสน์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างจำเลยที่ ๒และที่ ๔
พิพากษายืน.