คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8345/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุขณะอยู่ในงานเลี้ยงที่บ้าน ป. ผู้ตายกับจำเลยมีเหตุทะเลาะจะทำร้ายกันเรื่องเล่นการพนันไฮโลว์ แต่มีคนห้ามไว้และให้จำเลยกลับบ้าน จำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้าน ป. เพื่อกลับบ้านต่อมาผู้ตายได้ออกตามไป ซึ่งแสดงว่าผู้ตายตามไปหาเรื่องจำเลยจนเกิดเหตุเป็นคดีนี้ การที่ผู้ตายตามไปทันจำเลยระหว่างทางพร้อมกับพูดทำนองว่าตายไปข้างหนึ่งและเข้าไปชกต่อยแล้วชักมีดออกมาจากข้างหลังจะแทงทำร้ายจำเลยก่อนเช่นนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตนเองได้ ถึงแม้จำเลยจะแย่งมีดจากมือผู้ตายได้แล้วก็มิใช่ว่าภยันตรายที่จะเกิดแก่ จำเลยจากผู้ตายได้ผ่านพ้นหรือสิ้นสุดไปแล้ว เพราะผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่และกำยำกว่าจำเลยซึ่งขาข้างซ้ายพิการใส่ขาเทียม โอกาสที่ผู้ตายจะแย่งมีดคืนจากจำเลยก็ยังมีอยู่ ซึ่งหากผู้ตายแย่งมีดคืนจากจำเลยมาได้ก็น่าเชื่อได้ว่าผู้ตายจะต้องแทงทำร้ายจำเลยได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ มิฉะนั้นผู้ตายคงไม่ตามไปหาเรื่องจำเลยอีก ส่วนเหตุการณ์ในขณะที่แทงนั้นนับได้ว่าเป็นช่วงฉุกละหุก ประกอบกับขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนจำเลยไม่น่าจะมีโอกาสเลือกแทงผู้ตายตรงบริเวณอวัยวะที่สำคัญได้ถนัดชัดเจน ดังนี้ แม้จำเลยจะแทงผู้ตายถูกที่บริเวณราวนมด้านซ้ายทะลุถึงหัวใจอันเป็นอวัยวะที่สำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ก็เป็นพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุที่จำต้อง กระทำเพื่อป้องกันในสถานการณ์เช่นนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกัน โดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ฐานฆ่าผู้อื่น ลงโทษจำคุก 18 ปี คำให้การชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้มีดปลายแหลมซึ่งมีใบมีดยาวประมาณ 6 นิ้ว กว้างประมาณ 1.25 นิ้วด้ามยาวประมาณ 4 นิ้ว แทงถูกนายสมาน คุณยศยิ่ง ผู้ตายที่บริเวณราวนมด้านซ้ายทะลุถึงหัวใจเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คดีนี้โจทก์มีพยานสำคัญรวม 2 ปากคือนายแสง บุญมา กับนายทอง ต้นนา โดยนายแสงเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 21 นาฬิกา พยานขี่รถจักรยานกลับจากซื้อยานัตถุ์ไปบ้านเมื่อถึงสี่แยกบ้านกว๊านได้ยินเสียงคนวิ่งไล่กันมาจากทางด้านหลังผ่านพยานไป คนแรกทราบภายหลังว่าเป็นผู้ตาย มีมีดเหน็บอยู่ข้างหลังโผล่ชายเสื้อส่วนคนที่วิ่งตามมาทราบภายหลังว่าเป็นจำเลยซึ่งไม่เห็นถืออะไรมา พยานเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวโดยอาศัยแสงไฟฟ้าที่ถนนซึ่งเป็นหลอดขนาด 40แรงเทียน พยานได้ตะโกนเป็นภาษาทางเหนือว่าทำอะไรกัน จำเลยได้หันหน้ามามองพยาน หลังจากนั้นไม่ทราบว่าผู้ตายกับจำเลยวิ่งไปทางไหนต่อมามีชาวบ้านออกมามุงดูและพูดกันว่าผู้ตายถูกแทง แล้วมีผู้นำส่งโรงพยาบาลและเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่เห็นจุดที่แทงกัน และพยานโจทก์ปากนี้ได้ให้การในชั้นสอบสวนว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 21 นาฬิกา พยานขี่รถจักรยานกลับจากซื้อยานัตถุ์ไปบ้านเมื่อถึงบริเวณสี่แยกบ้านกว๊าน (มุ่งหน้าไปทางบ้านแม่ใส) ได้ยินเสียงคนวิ่งไล่กันมาจากทางด้านหลังผ่านพยานไป โดยคนที่วิ่งนำหน้าคือผู้ตายส่วนคนที่วิ่งตามคือจำเลยซึ่งถือมีดอยู่ในมือด้วย โดยผู้ตายวิ่งนำหน้าห่างจากจำเลยประมาณ 8 เมตร พยานจึงตะโกนขึ้นว่า “สูยะหยังกัน”หมายถึงว่าทำอะไรกัน จำเลยได้หันหน้ากลับมาดูพยานแล้ววิ่งหนีเข้าไปในซอยข้างวัดสันป่าถ่อน ส่วนผู้ตายได้ล้มลงบริเวณหน้าวัด จากนั้นมีชาวบ้านออกมาดูกันและนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลและนายแสงพยานได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าบริเวณที่เกิดเหตุดังกล่าวมีแสงสว่างจากไฟฟ้าข้างถนนส่องสว่างสามารถมองเห็นชัดเจนได้ในระยะ 20 เมตรและขณะที่เห็นจำเลยวิ่งไล่ผู้ตายนั้น พยานเข้าใจว่าผู้ตายคงจะถูกแทงมาก่อนแล้ววิ่งหนีมา เมื่อพยานตะโกนถามขึ้นดังกล่าวจำเลยจึงวิ่งหนีเข้าซอยข้างวัดไป ตามบันทึกคำให้การของนายแสงพยานเอกสารหมาย จ.1ส่วนนายทองเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลา 20 ถึง 21 นาฬิกา พยานไปซื้อยาแก้ปวดที่ร้านขายยาบริเวณหน้าวัดสันป่าถ่อนแต่ร้านปิดจึงเดินกลับบ้าน เห็นจำเลยกำลังซ่อมรถจักรยานยนต์อยู่ที่หน้าบ้านนายคะนองดีใจ เมื่อพยานเดินเลยไปประมาณ 5 ถึง 6 ก้าว ได้ยินเสียงเอะอะข้างหลังจึงหันไปมองเห็นผู้ตายแล้วได้ยินผู้ตายพูดภาษาคำเมืองว่า วันนี้ไม่เผาก็จี่ให้ตายไปข้างหนึ่ง เมื่อผู้ตายพูดเช่นนั้นแล้วผู้ตายเข้าชกต่อยจำเลยทันที จำเลยล้มแล้วผู้ตายขึ้นคร่อมจำเลยและชักของข้างหลังออกมาไม่ทราบว่าเป็นอะไร จากนั้นผู้ตายกับจำเลยแย่งของที่ผู้ตายชักออกมาดังกล่าวกันพยานจึงตะโกนว่าสูจะเอากันตายหรือ ซึ่งหมายความว่าจะฆ่ากันให้ตายหรือ แต่ผู้ตายกับจำเลยยังไม่แยกจากกัน หลังจากนั้นพยานเดินกลับเข้าบ้านรุ่งขึ้นได้ทราบจากชาวบ้านพูดกันว่าผู้ตายถูกแทงถึงแก่ความตาย นายทองยังเบิกความต่อไปว่า พยานเห็นเหตุการณ์ชัดเจน เพราะมีไฟฟ้าสาธารณะข้างถนนซึ่งเป็นหลอดไฟฟ้านีออนขนาด 40 แรงเทียน ที่อยู่ข้างบ้านนายคะนองห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 4 เมตร และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะที่ผู้ตายกับจำเลยกำลังชุลมุนอยู่นั้น พยานไม่เห็นว่าใครแทงใคร เพียงเห็นแย่งของกัน และพยานโจทก์ปากนี้ได้ให้การในชั้นสอบสวนว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 21 นาฬิกา พยานไปซื้อยาแก้ปวดที่ร้านค้าบริเวณหน้าวัดสันป่าถ่อน แต่ร้านปิดจึงเดินกลับบ้านขณะจะเข้าบ้านได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์มาจอดบริเวณหน้าตลาดเยื้องกับบ้านนายคะนอง ดีใจ สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเหมือนคนทะเลาะกัน จึงหันไปดูเห็นชาย 2 คน กำลังชกต่อยชุลมุนกันและเนื่องจากสายตาพยานไม่ค่อยดี เวลากลางคืนจะมองไม่ค่อยเห็นอะไรชัดเจน จึงได้ตะโกนด่าไปว่า “สูจะเอากันตายหรือ” แล้วพยานเดินเข้าบ้านไป รุ่งขึ้นได้ทราบจากชาวบ้านว่ามีการแทงกันตาย โดยจำเลยเป็นคนใช้มีดแทงผู้ตายและไปถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาล และนายทองพยานได้ให้การต่อไปว่า บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้านีออนขนาด 40 แรงเทียน ซึ่งติดอยู่ที่เสาไฟฟ้าภายในหมู่บ้านส่องสว่างสามารถมองเห็นได้ชัดเจนพอสมควร (ถ้าเป็นคนมีสายตาปกติ) ตามบันทึกคำให้การของนายทองพยานเอกสารหมาย จ.3เห็นว่าตามคำเบิกความในชั้นพิจารณาและคำให้การในชั้นสอบสวนของนายแสงที่อ้างว่าบริเวณสี่แยกบ้านกว๊านที่เห็นจำเลยวิ่งไล่ตามผู้ตายมีแสงสว่างจากไฟฟ้าข้างถนนก็ดีและตามคำเบิกความในชั้นพิจารณาและคำให้การในชั้นสอบสวนของนายทองที่อ้างว่าบริเวณหน้าบ้านนายคะนองที่เห็นจำเลยกับผู้ตายทะเลาะชกต่อยกันมีแสงสว่างหลอดไฟฟ้านีออนขนาด 40 แรงเทียน ก็ดี นั้น แต่ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2 ไม่ปรากฏว่าบริเวณทั้งสองแห่งดังกล่าวมีเสาไฟฟ้าหรือหลอดไฟฟ้าติดที่เสาไฟฟ้าข้างถนนแต่อย่างใดทั้งตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีอาญาเอกสารหมาย จ.4ในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพทั่วไปของสถานที่เกิดเหตุก็ได้มีการบันทึกไว้ความว่าเป็นบริเวณในหมู่บ้านสันป่าถ่อน มีบ้านเรือนของประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นพอสมควร ขณะเกิดเหตุชาวบ้านส่วนใหญ่เข้านอนหมดแล้ว โดยไม่มีการบันทึกเรื่องหลอดไฟฟ้าว่ามีอยู่ในบริเวณทั้งสองแห่งดังที่นายแสงและนายทองเบิกความและให้การ ส่วนที่พันตำรวจโททิวาสกุลวัฒนะ พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จากการสืบสวนปรากฏว่าเหตุที่เกิดที่หน้าตลาดสดสันป่าถ่อน ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีไฟฟ้าประจำหมู่บ้าน แต่ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2 ไม่ปรากฏว่ามีหลอดไฟฟ้าบริเวณดังกล่าวดังที่พันตำรวจโททิวาเบิกความ เมื่อคำนึงถึงว่าเหตุคดีนี้เกิดในเวลากลางคืนเรื่องแสงสว่างที่ทำให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ หากบริเวณสี่แยกบ้านกว๊านที่นายแสงอ้างว่ามีแสงสว่างจากไฟฟ้าข้างถนนก็ดีและบริเวณหน้าบ้านนายคะนองที่นายทองอ้างว่ามีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้านีออนก็ดี พันตำรวจโททิวาก็ไม่น่าละเลยที่จะไม่แสดงให้ปรากฏในแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2 ตลอดจนในคำอธิบายแผนที่ เมื่อตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2ดังกล่าว ตลอดจนคำอธิบายแผนที่ไม่ได้แสดงให้ปรากฏว่าบริเวณทั้งสองแห่งตามที่นายแสงกับนายทองกล่าวอ้างมีหลอดไฟฟ้าทำให้มีแสงสว่างกรณีจึงมีเหตุชวนให้น่าสงสัยว่าบริเวณทั้งสองแห่งดังกล่าวมีแสงสว่างที่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจนหรือไม่ เมื่อตามคำเบิกความในชั้นพิจารณาและคำให้การในชั้นสอบสวนของนายแสงไม่ปรากฏว่าที่จำเลยวิ่งไล่ตามผู้ตายไปนั้น อยู่ห่างจากนายแสงมากน้อยเพียงใด จึงไม่สนิทใจที่จะเชื่อว่านายแสงได้เห็นมีดที่ผู้ตายเหน็บอยู่ข้างหลังดังที่เบิกความในชั้นพิจารณา หรือเห็นมีดอยู่ในมือจำเลยดังที่ให้การในชั้นสอบสวน ตามคำเบิกความในชั้นพิจารณาและคำให้การในชั้นสอบสวนของนายแสงดังกล่าวมาข้างต้น หากจะฟังก็คงฟังได้เพียงว่าจำเลยวิ่งไล่ตามผู้ตายไปเท่านั้น ส่วนเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุที่มีการแทงกันจะเกิดขึ้นอย่างไร นายแสงไม่ได้รู้เห็น ส่วนนายทองนั้นได้ให้การในชั้นสอบสวนว่าสายตาไม่ค่อยดี เวลากลางคืนจะมองไม่ค่อยเห็นอะไรชัดเจน ฉะนั้นที่นายทองเบิกความดังกล่าวมาข้างต้นว่าได้เห็นผู้ตายเข้าชกต่อยจำเลยก่อน เมื่อจำเลยล้มแล้วผู้ตายขึ้นคร่อมจำเลยและชักของข้างหลังออกมาไม่ทราบว่าเป็นอะไร แล้วผู้ตายกับจำเลยแย่งของดังกล่าวกัน อันเป็นทำนองว่าได้เห็นเหตุการณ์โดยชัดเจนนั้นจึงไม่น่าเชื่อส่วนหากจะฟังตามคำให้การชั้นสอบสวนของนายทองดังกล่าวมาข้างต้นก็คงฟังได้เพียงว่าผู้ตายกับจำเลยชกต่อยกันเท่านั้น ส่วนเหตุการณ์ขณะที่แทงกันนายทองไม่เห็นดังที่นายทองเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าไม่เห็นว่าใครแทงใคร เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อเท็จจริงในขณะเกิดเหตุที่แทงกันจะเป็นอย่างไรนั้น จำเลยได้นำสืบว่าก่อนเกิดเหตุขณะอยู่ในงานเลี้ยงที่บ้านนายประญัติ เครือปลูก ผู้ตายกับจำเลยมีเหตุทะเลาะจะทำร้ายกันเรื่องเล่นการพนันไฮโลว์ แต่มีคนห้ามไว้และให้จำเลยกลับบ้านจำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านนายประญัติเพื่อกลับบ้าน ซึ่งในเหตุการณ์ส่วนนี้พยานโจทก์หลายปาก เช่น นายสัมฤทธิ์ ไชยศรี นายคะนอง ดีใจ และนายวิวัฒน์ ยะนา ที่อยู่ในงานเลี้ยงที่บ้านนายประญัติต่างเบิกความได้ความทำนองเดียวกันว่า ขณะอยู่ในงานเลี้ยงผู้ตายกับจำเลยทะเลาะกันเรื่องเล่นการพนันไฮโลว์ถึงขั้นจะชกต่อยทำร้ายกันแต่ได้ห้ามไว้จึงเลิกรากันและบอกให้จำเลยกลับบ้าน จำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์กลับบ้าน หลังจากนั้นไม่นานผู้ตายได้ออกไปอ้างว่าจะไปปัสสาวะแล้วไม่กลับมาอีกเหตุการณ์ต่อจากนั้นได้ความจากการนำสืบของจำเลยว่า เมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปถึงบริเวณทางเลี้ยวเข้าบ้านภริยาจำเลย เครื่องยนต์เกิดขัดข้อง ขณะจำเลยกำลังซ่อมรถโดยถอดหัวเทียนออกมาตรวจดูอยู่นั้นผู้ตายวิ่งมาพร้อมกับพูดว่ามีเรื่องกันไม่จี่ก็เผา หมายความว่าตายไปข้างหนึ่ง แล้วผู้ตายเข้าชกต่อยจำเลยล้มลง จำเลยจะลุกขึ้นแต่เนื่องจากขาข้างซ้ายของจำเลยพิการใส่ขาเทียมไม่สามารถยืนได้ทันที ผู้ตายได้ชักมีดปลายแหลมออกมาจากข้างหลังจะแทงจำเลย จำเลยแย่งมีดจากมือผู้ตายแล้วเหวี่ยงไปมา 3 ถึง 4 ครั้ง ซึ่งในขณะนั้นจำเลยนั่งอยู่โดยผู้ตายยืนคร่อมจำเลย ผู้ตายร้องว่าถูกมีดแล้วมีดหล่นลงพื้น จากนั้นผู้ตายวิ่งออกไป จำเลยหยิบมีดแล้วไปบ้านญาติโดยได้ทิ้งมีดดังกล่าวห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตร ในชั้นสอบสวนจำเลยก็ได้ให้การมีใจความว่า เมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์มาถึงบริเวณหน้าตลาดกำลังจะเลี้ยวรถเข้าบ้านภริยาจำเลยเครื่องยนต์เกิดขัดข้อง ขณะจำเลยทดลองติดเครื่องรถอยู่นั้น ผู้ตายวิ่งมาหาจำเลยแล้วชกบริเวณหน้าจำเลย จำเลยเอี้ยวหลบจึงถูกบริเวณหลังศีรษะ จากนั้นผู้ตายชักมีดที่ผู้ตายเหน็บอยู่ข้างหลังออกมาพร้อมกับพูดว่า “มึงจะทิ่มกับกูเหรอ”ซึ่งหมายถึงจะแทงกันเหรอ จำเลยเห็นดังนั้นจึงใช้มือทั้งสองข้างจับที่ข้อมือผู้ตายไว้และแย่งมีดจากมือผู้ตายได้แล้วหลับหูหลับตาแทงไป1 ครั้ง ไม่ทราบว่าถูกที่ใด ได้ยินผู้ตายร้องว่า “โอ๊ย” จำเลยจึงใช้มือโบกไล่ผู้ตายให้ออกไป เห็นผู้ตายวิ่งไปทางด้านหน้าวัดสันป่าถ่อน จำเลยเดินตามไปแล้วเดินเลี้ยวไปทางข้างวัด และได้อาศัยรถยนต์กระบะที่ขับผ่านมาหลบหนีไปและได้โยนมีดทิ้งข้างถนน กรณีจึงเป็นที่เห็นได้ว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยมีใจความสำคัญสอดคล้องกับที่จำเลยนำสืบเมื่อพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงที่ว่าเมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านนายประญัติไปแล้ว ต่อมาผู้ตายได้ออกตามไปซึ่งแสดงว่าผู้ตายตามไป หาเรื่องจำเลยจนเกิดเหตุเป็นคดีนี้ขึ้น รูปคดีจึงมีเหตุผลให้น่าเชื่อตามที่จำเลยนำสืบ การที่ผู้ตายตามไปทันจำเลยระหว่างทางพร้อมกับพูดทำนองว่าตายไปข้างหนึ่งและเข้าไปชกต่อยแล้วชักมีดออกมาจากข้างหลังจะแทงทำร้ายจำเลยก่อนเช่นนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตนเองได้ ถึงแม้จำเลยจะแย่งมีดจากมือผู้ตายได้แล้วก็มิใช่ว่าภยันตรายที่จะเกิดแก่จำเลยจากผู้ตายได้ผ่านพ้นหรือสิ้นสุดไปแล้วดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย เพราะได้ความจากการนำสืบของโจทก์ว่า ผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่และกำยำกว่าจำเลยซึ่งขาข้างซ้ายพิการใส่ขาเทียม โอกาสที่ผู้ตายจะแย่งมีดคืนจากจำเลยก็ยังมีอยู่ ซึ่งหากผู้ตายแย่งมีดคืนจากจำเลยมาได้ก็น่าเชื่อได้ว่าผู้ตายจะต้องแทงทำร้ายจำเลยได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ มิฉะนั้นผู้ตายคงไม่ตามไปหาเรื่องจำเลยอีก ส่วนเหตุการณ์ในขณะที่แทงนั้นไม่ว่าจะฟังตามที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยได้เหวี่ยงมีดไปมา 3 ถึง 4 ครั้ง ในขณะที่ผู้ตายยืนคร่อมจำเลยซึ่งนั่งอยู่หรือจะฟังตามที่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า จำเลยหลับหูหลับตาแทงไป 1 ครั้งไม่ทราบว่าถูกที่ใดก็เป็นการแทงในขณะที่มีการต่อสู้กันอยู่ ซึ่งนับได้ว่าเป็นช่วงฉุกละหุก ประกอบกับขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ซึ่งมีเหตุน่าสงสัยในเรื่องแสงสว่างดังวินิจฉัยมาข้างต้น จำเลยไม่น่าจะมีโอกาสเลือกแทงผู้ตายตรงบริเวณอวัยวะที่สำคัญได้ถนัดชัดเจน ดังนี้แม้จำเลยจะแทงผู้ตายถูกที่บริเวณราวนมด้านซ้ายทะลุถึงหัวใจอันเป็นอวัยวะที่สำคัญ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ก็เป็นพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันในสถานการณ์เช่นนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 จำเลยไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้ตายตามฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยประการอื่นอีกต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันว่าจำเลยมีความผิดฐานนี้และลงโทษมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

Share