คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8344/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะโทรมหญิงและลงโทษประหารชีวิตฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่น ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้โดยลดโทษให้หนึ่งในสามลงโทษจำคุก 33 ปี 4 เดือน และจำคุกตลอดชีวิตตามลำดับ จึงเป็นการแก้เฉพาะโทษ กรณีเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองเกินห้าปี ดังนี้ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตายตกไปตามกันอันหมายถึงให้ลงโทษประหารชีวิตซึ่งเป็นฎีกาดุลพินิจในการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ซึ่งหมายความถึงโจทก์ร่วมด้วยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคสอง
ส่วนความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานเวลากลางคืนลดโทษให้คนละหนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 4 ปี เป็นการแก้ทั้งบทและโทษกรณีเป็นการแก้ไขมาก จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2540 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาวเกษราหรือเกศรา เรื่อศรีจันทร์ผู้ตาย ซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยใช้กำลังประทุษร้ายช่วยกันจับ ปลุกปล้ำใช้ขวดน้ำอัดลมตีผู้ตายที่ศีรษะ เป็นเหตุให้ผู้ตายล้มลงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยทั้งสองผลัดเปลี่ยนกระทำชำเราผู้ตายจนสำเร็จความใคร่ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง และจำเลยทั้งสองร่วมกันลักสร้อยคอทองคำ 1 เส้น ราคา 2,500 บาท และเงินสด 5,000บาท ของผู้ตายโดยจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการใช้ขวดน้ำอัดลมตีผู้ตายที่ศีรษะเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์การพาทรัพย์ไป ยึดถือเอาทรัพย์ไว้ และปกปิดการกระทำความผิดกับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ขวดน้ำอัดลมตีผู้ตายที่ศีรษะ และใช้สายไฟเตารีดไฟฟ้ารัดผู้ตายที่คอโดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยทั้งสอง ทั้งนี้เพื่อปกปิดความผิดและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่จำเลยทั้งสองได้กระทำไว้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276, 289, 339 คืนของกลางแก่เจ้าของ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 5,000 บาท แก่ผู้เสียหายและนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5110/2540 ของศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ระหว่างพิจารณานายวันนา เรื่อศรีจันทร์ บิดาของผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง, 289(7), 339 วรรคท้ายประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่น ลงโทษประหารชีวิต ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ลงโทษประหารชีวิต รวมทุกกระทงความผิดแล้ว คงลงโทษประหารชีวิตสถานเดียว และเมื่อศาลลงโทษประหารชีวิตแล้ว กรณีไม่อาจนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5110/2540 ของศาลชั้นต้นได้อีกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 คืนของกลางแก่เจ้าของ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 5,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7)(8) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 6 ปี ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 สำหรับความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง คำนวณลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือนส่วนฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นคำนวณลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52(1) คงจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานเวลากลางคืน จำคุกคนละ 4 ปีเมื่อลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นแล้ว ก็ไม่อาจนำโทษจำคุกฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง และฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืนมารวมอีกได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91(3) รวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้องจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาวเกษราหรือเกศรา เรื่อศรีจันทร์ ผู้ตาย อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและฆ่าผู้ตายเพื่อปกปิดความผิดแล้วลักเอาสร้อยคอทองคำ1 เส้น ราคา 2,500 บาท ของผู้ตายและเงินสดจำนวน 5,000 บาท ของโจทก์ร่วมไป คดีสำหรับข้อหาความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง และฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่น ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตและประหารชีวิตตามลำดับ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อลดโทษให้คนละหนึ่งในสามแล้ว ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งเป็นการแก้เฉพาะโทษกรณีเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองเกินห้าปี จึงห้ามมิให้โจทก์ซึ่งหมายความถึงโจทก์ร่วมด้วย ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคสอง ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตายตกไปตามกันอันหมายถึงให้ลงโทษประหารชีวิตนั้นเป็นฎีกาดุลพินิจในการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมฎีกาในความผิดทั้งสองฐานตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ศาลอุทธรณ์ภาค 6พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานเวลากลางคืนลดโทษให้คนละหนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 4 ปี เป็นการแก้ทั้งบทและโทษกรณีเป็นการแก้ไขมาก จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือไม่… เมื่อจำเลยทั้งสองเข้าไปบ้านที่เกิดเหตุก็ทำร้ายผู้ตายและร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายทันทีโดยไม่ปรากฏว่าได้หยิบฉวยทรัพย์สินไปก่อนแต่อย่างใด อันแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีความประสงค์จะข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายเท่านั้น หาได้ประสงค์ต่อทรัพย์ไม่ ทั้งก่อนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองได้ดื่มสุราจนเมาซึ่งมิใช่วิสัยของคนร้ายที่จะเตรียมการไปชิงทรัพย์ การที่จำเลยทั้งสองฆ่าผู้ตายก็เพื่อปกปิดความผิดของตนที่ได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ปลดเอาสร้อยคอทองคำของผู้ตายและจำเลยที่ 1เอาเงินของโจทก์ร่วมไปหลังจากกระทำความผิดดังกล่าว จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานและกลางคืนเท่านั้น ที่โจทก์ร่วมฎีกาทำนองว่าจำเลยทั้งสองวางแผนกันมาชิงทรัพย์นั้นยังไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษจำเลยได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share