แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพียงกระทงเดียวมิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพกัญชา โจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบบ้องกัญชาที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชาหาได้ไม่ แม้จำเลยจะรับสารภาพว่ามีบ้องกัญชาดังกล่าวไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชา ศาลก็ไม่มีอำนาจสั่งริบเพราะไม่ใช่เครื่องมือ เครื่องใช้หรือวัตถุอื่นซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 102 และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยกระทำความผิดซึ่งหมายถึงเฉพาะความผิดที่กระทำในคดีนี้ตาม ป.อ. มาตรา 32, 33 (1) จึงไม่อาจริบได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26, 76, 102 ริบบ้องกัญชาของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง จำคุก 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 1,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน รอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ตามที่พนักงานคุมประพฤติกำหนดภายในระยะเวลา 1 ปี เพื่อพนักงานคุมประพฤติจะได้สอบถามแนะนำ ช่วยเหลือตักเตือนในเรื่องความประพฤติและการประกอบอาชีพ ให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมความประพฤติและจำเลยเห็นสมควร 36 ชั่วโมง ห้ามจำเลยคบหาสมาคมกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษเที่ยวเตร่ตามสถานเริงรมย์ในเวลากลางคืน ดื่มสุรา เสพของมึนเมาทุกชนิด และห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกประเภท กับให้จำเลยไปรับการบำบัดรักษาการติดยาเสพติดให้โทษ ณ สถานบำบัดยาเสพติดให้โทษโรงพยาบาลทับปุด จังหวัดพังงา ตามระยะเวลาที่สถานบำบัดยาเสพติดให้โทษและพนักงานคุมประพฤติกำหนดไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ส่วนที่โจทก์ขอให้ริบบ้องกัญชาของกลางโดยอ้างว่าเป็นอุปกรณ์ที่จำเลยใช้เสพกัญชานั้น โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยในข้อหาเสพกัญชามาด้วย บ้องกัญชาของกลางดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์ที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดคดีนี้ ไม่อาจริบได้ตามขอ จึงให้ยกคำขอส่วนนี้คืนบ้องกัญชาของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าต้องริบบ้องกัญชาของกลางหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพียงกระทงเดียว มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพกัญชา โจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบบ้องกัญชาที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชาหาได้ไม่ แม้จำเลยจะรับสารภาพว่ามีบ้องกัญชาดังกล่าวไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชา ศาลก็ไม่มีอำนาจสั่งริบเพราะไม่ใช่เครื่องมือ เครื่องใช้หรือวัตถุอื่นซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยกระทำความผิด ซึ่งหมายถึงเฉพาะความผิดที่กระทำในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 (1) จึงไม่อาจริบได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน