คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8339/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

กฎหมายมุ่งประสงค์ให้การสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคการเมืองกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง อันแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าไม่ประสงค์ให้ศาลฎีกาเข้าไปวินิจฉัยในเรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้วินิจฉัยมาแล้วผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา
(คำสั่งศาลฎีกา)

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคพลังธรรม ต่อมาคณะกรรมการเลือกตั้งไม่ประกาศรายชื่อผู้ร้องให้มีสิทธิเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยแจ้งเหตุอ้างว่าผู้ร้องเสียสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะผู้ร้องไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานครในการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งรับสมัครและประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง

ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องเสียสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้กฎหมายมิได้ระบุถึงการคัดค้านเกี่ยวกับการประกาศไม่รับสมัครเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ทั้งกฎหมายกำหนดให้หัวหน้าพรรคการเมือง หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าพรรคการเมืองเป็นผู้ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ยกคำร้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “กระบวนการสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแตกต่างจากการสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ การสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ผู้ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครคือผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งซึ่งเป็นเพียงเจ้าพนักงานของคณะกรรมการเลือกตั้งเท่านั้นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาฯ มาตรา 34 จึงให้สิทธิแก่ผู้สมัครที่จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ขอให้วินิจฉัยทบทวนการใช้ดุลพินิจของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งได้อีกครั้งหนึ่ง พระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติไว้อีกส่วนหนึ่งในข้อ 3 ส่วนที่ 5 มาตรา 35 ถึงมาตรา 37ว่า พรรคการเมืองจะต้องเป็นผู้จัดทำบัญชีรายชื่อโดยมีหลักเกณฑ์ตามลำดับดังที่กำหนดไว้ในมาตรา 35(1) ถึง (3) ทั้งมาตรา 36 ยังบัญญัติต่อไปว่าให้หัวหน้าพรรคการเมืองหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าพรรคการเมืองเป็นผู้ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครต่อคณะกรรมการเลือกตั้ง เห็นได้ว่าการรับสมัครแบบนี้เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคการเมืองกับคณะกรรมการการเลือกตั้งและมาตรา 37 ยังบัญญัติอีกด้วยว่า ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานการสมัครคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครจึงเป็นการตรวจสอบและวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตรา 145(3) ซึ่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นตามกฎหมายตามมาตรา 144 วรรคสอง เช่น กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เป็นต้น และมาตรา 37ให้นำความแต่เฉพาะในมาตรา 32 เรื่องสถานที่ประกาศรายชื่อ และในมาตรา 33 เรื่องให้ค่าธรรมเนียมการรับสมัครรับเลือกตั้งตกเป็นของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองมาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่านั้นมิได้ให้นำมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วยแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าไม่ประสงค์ให้ศาลฎีกาเข้าไปวินิจฉัยในเรื่องที่คณะกรรมการเลือกตั้งได้วินิจฉัยมาแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามมาตรา 34 ดังที่ผู้ร้องอ้างได้”

จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ผู้ร้อง

Share