คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินที่โจทก์ครอบครอง ที่ดินแปลงดังกล่าวมีที่ดินของผู้อื่นล้อมอยู่ทุกด้านรวมทั้งที่ดินของจำเลยด้านทิศใต้ซึ่งอยู่ติดกับทางสาธารณะโจทก์ใช้ทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะมาแล้ว 30 ปีเศษ แม้จะปรากฏว่าโจทก์ใช้ทางเดินตามแนวคันนาด้านทิศตะวันออกผ่านที่ดินของบุคคลอื่นบ้าง ก็ต้องถือว่ามีที่ดินแปลงอื่นล้อมที่ดินของโจทก์อยู่ โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์มีที่ดินของจำเลยและของผู้อื่นล้อมอยู่จนไม่อาจออกสู่ทางสาธารณะได้ จึงขอให้บังคับจำเลยเปิดทางให้โจทก์และบริวารออกสู่ทางสาธารณะ
จำเลยให้การว่า โจทก์มีทางอื่นที่จะออกสู่ทางสาธารณะได้หลายทางทางตามแผนที่พิพาทท้ายฟ้องไม่ใช่ทางจำเป็น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และบริวารมีสิทธิใช้ทางผ่านที่ดินของจำเลยทางด้านทิศตะวันตกซึ่งอยู่ใกล้แนวเขตที่ดินของนายหุ้ยกว้าง 1 เมตรครึ่ง โดยให้อ้อมคอกเป็ดของจำเลยเพื่อออกไปสู่ถนนสาธารณะในระยะทางสั้นที่สุด และหากจำเลยยอมรื้อคอกเป็ดก็ให้โจทก์ใช้ทางผ่านในระยะสั้นที่สุด ห้ามจำเลยขัดขวางการใช้สิทธิของโจทก์ดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า โจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 2 งานเศษ มาประมาณ 30-40 ปีแล้ว ที่ดินของโจทก์ด้านทิศเหนือจดที่ดินของนายเอียด ทิศใต้จดที่ดินของจำเลย ทิศตะวันออกจดที่ดินของนางจำเนียร และทิศตะวันตกจดที่ดินของนางปาน และทางด้านทิศใต้ถัดจากที่ดินของจำเลยมีทางสาธารณะโจทก์ใช้ทางเดินออกสู่ทางสาธารณะด้านทิศใต้ผ่านที่ดินของจำเลยมาประมาณ 30-40 ปี มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยตามแผนที่ท้ายฟ้อง เอกสารหมาย จ.2 เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ จำเลยฎีกาว่าแม้โจทก์จะใช้ทางเดินในที่ดินของจำเลยผ่านออกสู่ทางสาธารณะ แต่โจทก์เดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะไม่ประจำทาง โดยเดินทางด้านทิศตะวันออกของบ้านจำเลยบ้าง ทางด้านทิศตะวันตกของบ้านจำเลยบ้าง นอกจากนี้โจทก์ยังใช้ทางคันนาด้านทิศตะวันออกของที่ดินนางจำเนียรเดินออกสู่ทางสาธารณะด้วยโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ทางพิพาทจึงไม่ใช่ทางจำเป็นนั้น เห็นว่า โจทก์และจำเลยรับกันว่า โจทก์ใช้ทางเดินออกสู่ทางสาธารณะด้านทิศใต้ โดยผ่านที่ดินของจำเลยมา 30ปีเศษแล้ว โจทก์เบิกความว่าใช้ทางพิพาทที่อยู่ในที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะ ทั้งใช้รถเข็นและรถจักรยานยนต์ผ่านทางพิพาทด้วย ซึ่งจำเลยก็เบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่าทางพิพาทนี้เป็นทางที่สะดวกที่สุดของโจทก์ จึงเชื่อว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะด้านทิศใต้เป็นประจำ แม้จะปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้ทางตามแนวคันนาด้านทิศตะวันออกของที่ดินนางจำเนียรเดินออกสู่ทางสาธารณะได้ดังที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่ก็ยังต้องเดินผ่านที่ดินของนางจำเนียรเช่นกัน ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของโจทก์และนางจำเนียรว่า เป็นการใช้เพียงชั่วคราวเนื่องจากโจทก์และจำเลยพิพาทกัน ทั้งทางดังกล่าวก็เป็นที่ลุ่มมีน้ำท่วมผ่านเข้าออกไม่สะดวก จึงถือว่ามีที่ดินแปลงอื่นล้อมที่ดินของโจทก์อยู่ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าโจทก์มีทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะได้จึงฟังไม่ขึ้นเมื่อที่ดินของโจทก์อยู่ในสภาพที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้เช่นนี้ โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นออกไปสู่ทางสาธารณะได้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share