คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2483

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่มีอุทธรณ์ฉะเพาะปัญหาข้อกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาทั้งข้อเท็จจริงแลข้อกฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ และเมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงลงโทษจำเลยไม่ได้จริงลงโทษจำเลยไม่ได้ก็ไม่วินิจฉัยข้อกฎหมายต่อไป

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง ๒ สมคบกันเป็นคนร้ายโดยจำเลยที่ ๑ ใช้กำลังทำร้ายนายสนั่นมีบาดเจ็บและลักสร้อยคอนายสนั่นไป จำเลยที่ ๒ ก็ได้ทำการลักสร้อยคอและพระของนายสาวผึ้งไปด้วยขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๘, ๒๙๙, ๒๙๗, ๖๓
ศาลอาญาพิจารณาได้ ความว่าจำเลยที่ ๑ ทำร้ายร่างกายนายสนั่น เมื่อทางพิจารณาได้ความต่างกับฟ้องจึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า ” จำเลยที่ ๑ บังอาจใช้กำลังกายทำร้างร่างกายนายสนั่นมีบาดเจ็บ ฯลฯ ” ดังนั้นถ้าข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ทำร้ายร่างกายนายสนั่นจริงก็อาจมีผิดฐานทำร้ายร่างกายได้แต่คดีโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยที่ ๑ ทำร้ายร่างกายเลย และจำเลยที่ ๒ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำร้ายด้วย จึงพิพากษายืนตามศาลอาญาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำพะยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้เลย และเมื่อข้อเท็จจริงไม่พลลงโทษจำเลยได้แล้วก็วินิจฉัยให้ยกฟ้องโจทก์ได้ตามคำวินิจฉัยในคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๐/๒๔๗๙ โดยมิต้องวินิจฉัยถึงข้อกฎหมายในฎีกาโจทก์อีก

Share