คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8300/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำบันทึกถ้อยคำซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลย และ บ. โดยบุคคลดังกล่าวได้ลงลายมือชื่อไว้ว่า ตามที่เจ้าหน้าที่มาทำรังวัดตรวจสอบเนื้อที่รายโจทก์จากการรังวัดปรากฏว่า อาณาเขตทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลย ได้ทำการปลูกสร้างบ้านพักอาศัยให้เช่ารุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ประมาณ 6 เมตร ปรากฏว่าคู่กรณีสามารถตกลงกันได้โดยจำเลยยินยอมแบ่งแยกที่ดินทางด้านทิศเหนือจากถนนสาธารณะประมาณ 4 เมตร โดยวัดเฉียงตรงมายังชายทะเลโดยที่ดินของจำเลยยังคงเหลือระยะ 68 เมตร เท่าเดิม ในการตกลงครั้งนี้จำเลยยินยอมตกลงว่าจะไปทำคำขอรังวัดแบ่งแยกให้โจทก์ภายในเวลา 1 เดือนนับจากวันตกลงนี้ ข้อตกลงในส่วนโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน โดยจำเลยยอมแบ่งที่ดินของจำเลยบางส่วนชดใช้ให้แก่โจทก์เนื่องจากจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านพักอาศัยให้เช่ารุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความอันบังคับได้ตามกฎหมาย มิใช่สัญญาให้ทรัพย์สิน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดตรวจสอบเนื้อที่ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 725ซึ่งโจทก์ นายคนิจและนายเชาวลิต วโนทยาโรจน์ เป็นเจ้าของรวมและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 724 ของจำเลยซึ่งมีอาณาเขตของที่ดินติดต่อกันจากการรังวัดปรากฏว่าจำเลยปลูกบ้านรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ประมาณ 6 เมตรโจทก์จำเลยจึงตกลงกันโดยจำเลยยินยอมแบ่งแยกที่ดินของจำเลยทางด้านทิศเหนือจากถนนสาธารณะ ยาวประมาณ 4 เมตร วัดเฉียงตรงมายังชายทะเลให้ที่ดินของจำเลยเหลือระยะ 68 เมตร เท่าเดิมโดยจำเลยจะไปจดทะเบียนรังวัดแบ่งแยกให้แก่โจทก์ภายใน 1 เดือนนับแต่วันตกลงกัน แต่เมื่อพ้นกำหนด 1 เดือน ดังกล่าว จำเลยไม่ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโอนให้แก่โจทก์ตามสัญญา ขอให้บังคับจำเลยไปทำการรังวัดจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 724 ด้านทิศเหนือจากถนนสาธารณะยาวประมาณ 4 เมตร โดยวัดเฉียงตรงมายังชายทะเลตามรูปแผนที่ที่ดินท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ทั้งบันทึกตามฟ้องเป็นกรณีที่จำเลยประสงค์จะให้ที่ดินของจำเลยแก่โจทก์โดยการทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่จำเลยยังมิได้สละสิทธิครอบครองและยังมิได้มีการจดทะเบียนตามนิติกรรมนั้น นิติกรรมจึงไม่สมบูรณ์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรังวัดจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 724 ด้านทิศเหนือจดถนนสาธารณะยาว 4 เมตร โดยวัดเฉียงตรงมายังชายทะเลตามรูปแผนที่ท้ายฟ้อง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของร่วมในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 725 ด้านทิศใต้ของที่ดินติดกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 724 ของจำเลย และด้านทิศใต้ของที่ดินจำเลยแปลงนี้ติดกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 1176 ของจำเลยอีกแปลงหนึ่ง และที่ดินของจำเลยแปลงหลังอยู่ติดกับที่ดินของนางบี้ กังแช เมื่อปี 2532 เจ้าพนักงานที่ดินได้ไปรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดินที่โจทก์เป็นเจ้าของร่วมตามคำขอของโจทก์ปรากฏว่า เนื้อที่ดินของโจทก์ขาดหายไป เจ้าพนักงานที่ดินจึงได้ทำบันทึกถ้อยคำซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลย และนางบี้โดยบุคคลดังกล่าวได้ลงลายมือชื่อไว้เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2532ความว่า วันนี้เวลา 10 นาฬิกา ตามที่เจ้าหน้าที่มาทำรังวัดตรวจสอบเนื้อที่ราย นายวิเชียร วโนทยาโรจน์ (หมายถึงโจทก์) จากการรังวัดปรากฏว่าอาณาเขตทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินนางสาวปราณีอ่อนหวาน (หมายถึงจำเลย) ได้ทำการปลูกสร้างบ้านพักอาศัยให้เช่ารุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ประมาณ 6 เมตร ปรากฏว่าคู่กรณีสามารถตกลงกันได้ โดยนางสาวปราณียินยอมแบ่งแยกที่ดินทางด้านทิศเหนือจากถนนสาธารณะประมาณ 4 เมตร โดยวัดเฉียงตรงมายังชายทะเลโดยที่ดินของนางสาวปราณียังคงเหลือระยะ68 เมตร เท่าเดิม ในการตกลงครั้งนี้นางสาวปราณียินยอมตกลงว่าจะไปทำคำขอรังวัดแบ่งแยกให้นายวิเชียรภายในเวลา 1 เดือนนับจากวันตกลงนี้

มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวเป็นสัญญาให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525หรือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ซึ่งทำให้สามารถบังคับกันได้ตามสัญญา เห็นว่า ข้อตกลงในส่วนโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน โดยจำเลยยอมแบ่งที่ดินของจำเลยบางส่วนชดใช้ให้แก่โจทก์เนื่องจากจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านพักอาศัยให้เช่ารุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความอันบังคับได้ตามกฎหมาย มิได้เป็นสัญญาให้ทรัพย์สินจำเลยจึงต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น

พิพากษายืน

Share