คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 828/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความผิดฐานปล้นทรัพย์มีองค์ประกอบมาจากการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ และการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ มีองค์ประกอบมาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความผิดฐานปล้นทรัพย์ได้รวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัว ฉะนั้น การใช้กำลังประทุษร้ายจึงเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ด้วย การที่โจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานปล้นทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดเข้าลักษณะขององค์ประกอบฐานใดฐานหนึ่งของการกระทำความผิดในข้อหาที่ฟ้องศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหก ดังนั้นคดีนี้เมื่อฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายสาหัส ตาม ป.อ. มาตรา 297 ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสาม, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 ริบไม้ท่อนของกลางกับให้จำเลยทั้งสี่คืนเงินที่ร่วมกันปล้นไปหรือชดใช้ราคาจำนวน 1,500 บาท ให้แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสาม, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 จำคุกคนละ 18 ปีริบไม้ท่อนของกลาง กับให้จำเลยทั้งสี่คืนเงินที่ร่วมกันปล้นไปหรือชดใช้ราคา 1,500 บาท ให้แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ลงโทษจำคุกคนละ 3 ปี ริบไม้ท่อนของกลาง คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่มีลักษณะเป็นการปล้นทรัพย์ดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่โจทก์มีแต่ผู้เสียหายเป็นพยานเพียงผู้เดียว ที่เบิกความไว้ชัดว่าขณะถูกทำร้ายไม่ทราบว่าผู้ใดล้วงเอาเงิน 1,500 บาท หลบหนีไปนอกจากตัวผู้เสียหายแล้ว โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนให้เห็นว่า จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันเป็นคนร้ายลักเอาเงินของผู้เสียหายไป ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีเป็นที่เห็นได้ว่าสาเหตุที่เกิดคดีนี้เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยทั้งสี่ใช้ให้นางสาวทองเคลือบนำเหรียญไปหยอดตู้เพลงเพื่อจะฟังเพลงและในขณะเดียวกันฝ่ายผู้เสียหายก็จะให้นางสาวทองเคลือบมาเก็บเงินค่าอาหารและสุราแล้วพวกจำเลยไม่พอใจจึงได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายมากกว่า หาใช่จำเลยทั้งสี่มีเจตนาที่จะร่วมกันลักเอาเงินของผู้เสียหาย แล้วร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายไม่ รูปคดียังฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่มีลักษณะเป็นการปล้นทรัพย์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นส่วนที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าผู้เสียหายเบิกความไม่อยู่กับร่องกับรอยและเบิกความแตกต่างกับนายณรงค์นั้น ศาลฎีกาได้ตรวจดูแล้วเห็นว่าแม้คำเบิกความของผู้เสียหายกับนายณรงค์จะแตกต่างกันบ้างก็เป็นเเรื่องพลความ มิใช่ในสาระสำคัญเพราะเห็นได้ชัดว่าตอนเกิดเหตุการณ์ใหม่ ๆ ผู้เสียหายและนายณรงค์คงจำความได้แม่นยำ ครั้นต่อมาตอนเบิกความในชั้นพิจารณาซึ่งเป็นเวลาห่างจากเกิดเหตุถึงปีเศษก็ย่อมเป็นเหตุธรรมดาของบุคคลทั่วไปซึ่งไม่อาจจำความได้ทั้งหมดเหมือนกับหลังเกิดเหตุใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม นอกจากคำเบิกความของผู้เสียหายและนายณรงค์แล้ว โจทก์ก็ได้นำพยานหลักฐานอย่างอื่นมาสืบประกอบให้เห็นจนเป็นที่เชื่อได้ดังวินิจฉัยข้างต้น ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าผู้เสียหายไม่เป็นผู้เสียหายเพราะมีส่วนก่อให้เกิดการกระทำผิดด้วยนั้น เห็นว่า คดีนี้มิใช่เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวหากแต่เป็นคดีอาญาแผ่นดิน และพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสี่ที่นำสืบก็รับฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการกระทำผิดด้วย นอกจากนี้ผู้เสียหายก็มิใช่โจทก์ผู้ฟ้องคดี หากแต่เป็นพนักงานอัยการส่วนที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าผู้เสียหายมิได้รับอันตรายสาหัสนั้น โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะกะโหลกแตกรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 8 วัน แล้วต้องกลับไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านอีกประมาณหนึ่งเดือนเศษ ประกอบกับโจทก์มีใบรับรองของแพทย์ท้ายฟ้องรายงานไว้ว่า ผู้เสียหายมีบาดแผลกะโหลกศรีษะแตกยุบเข้าด้านในตัดเยื่อหุ้มสมอง และตัดเนื้อสมอง มีความยาวถึง 4 เซนติเมตรต้องผ่าตัดเอากะโหลกส่วนที่แตกและกดเนื้อสมองออก และใช้เวลารักษานานมากกว่าหนึ่งเดือน โดยที่จำเลยทั้งสี่มิได้นำสืบหักล้างเพียงยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเห็นได้ชัดว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน ยิ่งกว่านั้นยังได้ความว่าผู้เสียหายมีอาชีพรับจ้างกรีดยางพาราระหว่างได้รับบาดเจ็บต้องรักษาตัวอยู่ไม่สามารถไปรับจ้างกรีดยางซึ่งเป็นการประกอบกรณียกิจตามปกติเกินกว่ายี่สิบวัน พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายรับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ฎีกาจำเลยทั้งสี่ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และที่จำเลยทั้งสี่ำีกาว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสี่ปล้นทรัพย์เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสี่ทำการปล้นทรัพย์ก็ต้องยกฟ้องจำเลยทั้งหมดจะลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานทำร้ายร่างกายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ไม่ได้ เพราะการจะลงโทษในข้อหาใด โจทก์ต้องกล่าวอ้างในคำฟ้องและต้องประสงค์ให้ลงโทษทั้งต้องระบุบทมาตราที่จะขอให้ลงโทษมาด้วยนั้น เห็นว่า ความผิดฐานปล้นทรัพย์มีองค์ประกอบมาจากการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ มีองค์ประกอบมาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความผิดฐฐานปล้นทรัพย์ได้รวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัว ฉะนั้น การใช้กำลังประทุษร้ายจึงเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ด้วย การที่โจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานปล้นทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยได้กระทำผิดเข้าลักษณะขององค์ประกอบฐานใดฐานหนึ่งของการกระทำความผิดในข้อหาที่ฟ้อง ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหกดังนั้น คดีนี้เมื่อฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ได้ส่วนที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยทั้งสี่ใช้ไม้ตีผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงกะโหลกแตกยุบ พฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3ใช้ดุลพินิจกำหนดโทษให้จำคุกจำเลยคนละ 3 ปี ก็เป็นผลดีกับจำเลยทั้งสี่อยู่แล้ว และเมื่อลงโทษจำคุก 3 ปี ดังกล่าวแล้วจึงไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้ได้…”
พิพากษายืน.

Share