แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเพียงผู้ติดต่อหารถแทรกเตอร์ไปไถที่ดินที่เกิดเหตุเพื่อได้รับค่าตอบแทนจากเจ้าของรถแทรกเตอร์ จะถือว่าจำเลยร่วมยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่เกิดเหตุหาได้ไม่ แต่จำเลยทราบว่าที่เกิดเหตุอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตป่าสงวนแห่งชาติ การที่จำเลยติดต่อหารถแทรกเตอร์ไปไถที่ดินที่เกิดเหตุแม้จะทำเพื่อหวังประโยชน์ตอบแทนจากเจ้าของรถแทรกเตอร์ ก็ถือได้ว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำความผิด จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตาม ป.อ. มาตรา 86
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ , ๓๓ , ๓๘ , ๕๔ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔ , ๖ , ๙ , ๑๔ , ๓๑ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๕๔ , ๕๕ , ๗๒ ตรี , ๗๔ จัตวา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย ให้จำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของจำเลยทั้งสองออกจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๓๓ , ๓๘ วรรคหนึ่ง , ๕๔ วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง , ๓๑ วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายหมายอาญา มาตรา ๘๓
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ และการกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ ๒ หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นเพียงผู้ติดต่อหารถแทรกเตอร์ไปไถที่ดินที่เกิดเหตุเพื่อได้รับค่าตอบแทนจากเจ้าของรถแทรกเตอร์เท่านั้น จะถือว่าจำเลยที่ ๑ ร่วมยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่เกิดเหตุร่วมกับจำเลยที่ ๒ หาได้ไม่ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ ๒ แต่ข้อเท็จจริงได้ความตามคำเบิกความพยานโจทก์ว่า เขตป่าสงวนแห่งชาติมีลำน้ำเป็นแนวเขต และมีหลักเขตพร้อมแผ่นป้ายแสดงแนวเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตป่าสงวนแห่งชาติไว้ชัดเจน โดยอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ ๑ กิโลเมตร เท่านั้น จึงเชื่อว่าจำเลยที่ ๑ ทราบว่าที่เกิดเหตุอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตป่าสงวนแห่งชาติ การที่จำเลยที่ ๑ ติดต่อหารถแทรกเตอร์ไปไถที่ดินที่เกิดเหตุ แม้จะทำเพื่อหวังประโยชน์ตอบแทนจากเจ้าของรถแทรกเตอร์ดังที่จำเลยที่ ๑ นำสืบ ก็ถือได้ว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ ๒ กระทำความผิด จำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๓๓ , ๓๘ วรรคหนึ่ง , ๕๔ วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง , ๓๑ วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๓ เดือน และปรับ ๑๕,๐๐๐ บาท เมื่อลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก ๒ เดือน และปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ให้จำเลยที่ ๑ ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก ๓ เดือน ต่อครั้ง มีกำหนด ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ , ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๖.