แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่คดีแพ่งจะต้องถือตามดังที่บัญญัติไว้ในป.วิ.อ. มาตรา 46 ต้องเป็นเท็จจริงที่วินิจฉัยไว้โดยตรงในคดีอาญาแล้ว เมื่อคีดดังกล่าวศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเพียงว่ามีเหตุให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ที่ดินพิพาทอาจเป็นของจำเลยก็ได้ ยังฟังไม่แจ้งชัดว่าเป็นของโจทก์ ตามพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายยังโต้เถียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จึงเท่ากับว่าคดีดังกล่าวศาลฎีกายังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทโดยล้อมรั้วในที่ดินที่โจทก์ครอบครองอยู่เป็นเนื้อประมาณ 50 ตารางวา โดยมีเจตนายึดถือเป็นของจำเลย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วออกไปและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าจำเลยล้อมรั้วบริเวณที่ดินที่จำเลยครอบครอง ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง กรณีเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่พิพาทขณะโจทก์ยื่นฟ้องมีราคา 10,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้รื้อถอนรั้วออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยเข้ายุ่งเกี่ยวอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะยอมรื้อถอนออกไปจากที่ดินที่โจทก์ครอบครอง
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยล้อมรั้วบริเวณที่ดินที่จำเลยครอบครองตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ ไม่ได้รุกล้ำ เข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินดังกล่าวต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ ๕๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนรั้วและออกไปจากที่ดินที่โจทก์ครอบครอง กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในศาลชั้นต้นโดยกำหนดค่าทนายความ ๑,๐๐๐ บาท ส่วนในชั้นอุทธรณ์โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ให้
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๐๑๕/๒๕๔๐ แต่คดีอาญาดังกล่าวศาลฎีกายังไม่ได้วินิจฉัยที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย จึงรับฟังเป็นยุติในคดีนี้ไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์นั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่คดีแพ่งจะต้องถือตามดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ นั้น ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยไว้โดยตรงในคดีอาญาแล้ว เมื่อคดีดังกล่าวศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเพียงว่ามีเหตุให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ที่ดินพิพาทอาจเป็นของจำเลยก็ได้ ยังฟังไม่ได้ แจ้งชัดว่าเป็นของโจทก์ ตามพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายยังโต้เถียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จึงเท่ากับว่าคดีดังกล่าวศาลฎีกายังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย คำวินิจฉัยของ ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ที่ว่า ศาลฎีกายังไม่ได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย จึงรับฟังเป็นยุติในคดีนี้ไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์จึงชอบแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ วินิจฉัยมาหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทโดยล้อมรั้วในที่ดินที่โจทก์ครอบครองอยู่เป็นเนื้อที่ประมาณ ๕๐ ตารางวา โดยมีเจตนายึดถือเป็นของจำเลย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วออกไปและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าจำเลยล้อมรั้วบริเวณที่ดินที่จำเลยครอบครอง ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ดังนี้ กรณีเป็น คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่พิพาทจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่พิพาทขณะโจทก์ยื่นฟ้องมีราคา ๑๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ วินิจฉัยมาจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้นทั้งสองข้อ
พิพากษายืน