แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยถือท้ายเรือโดยประมาทชนสพานสาธารณะจึงเสาหัก 2 ต้นสพานชำรุด ขอให้ลงโทษฐานทำโดยประมาทตาม ม.191, 201 นั้นถือได้แล้วว่าเป็นคำบรรยายฟ้องที่สมบูรณ์และถ้าหากจำเลยกระทำดั่งข้อกล่าวหาของโจทก์เรียกได้ว่ากระทำให้เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์ต้องตาม ม.201(1) อันเป็นความผิดที่จะต้องรับโทษอาญาแล้ว.
ย่อยาว
โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยผู้เป็นนายท้ายเรือควบคุมเรือยนต์ได้กระทำการโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังอันควรเป็นวิสัยของปกติชนโดยไม่ติดต่อให้เรือจูงเบาเครื่องให้วิ่งช้าลงกว่าปกติในขณะที่ให้เรือยนต์ลำอื่นจูงเพราะเครื่องยนต์เสียและมิได้ถือท้ายเรือให้แล่นอยู่กึ่งกลางลำคลองเป็นเหตุให้เรือที่จำเลยถือท้ายชนเสาสพานสาธารณะสำหรับใช้ไปมาข้ามคลองที่วัดป่าระกำล่างหักไป ๒ เสาเสียหายประมาณ ๔,๕๐๐ บ. ทำให้สพานชำรุดจนสามารถอาจเกิดอันตรายแก่การไปมา เหตุเกิดที่ต.บ้านใหม่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญา ม.๑๙๑,๒๐๑,๔๓
จำเลยให้การปฏิเสธความผิดและว่าขณะเกิดเหตุ จำเลยมิได้ถือท้ายเรือ
ศาลจังหวัดปากพนังพิจารณาแล้วพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยยังหากระทำให้เกิดเป็นความผิดในทางอาญาไม่ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้สืบพยานให้เสร็จสิ้นกระแสความ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีเรื่องนี้แล้วฟ้องโจทก์ว่าจำเลยถือท้ายเรือชนสพานสาธารณะถึงเสาหัก ๒ ต้นสถานชำรุด โจทก์ขอให้ลงโทษฐานทำให้โดยประมาทตาม ม.๑๙๑,๒๐๑
ศาลนี้เห็นพ้องด้วยคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าถ้าจำเลยกระทำดังข้อกล่าวหาของโจทก์เรียกได้ว่ากระทำให้เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์ต้องตาม ม.๒๐๑(๑) อันเป็นควาผิดที่จะต้องรับอาญา ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาของจำเลย.