แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สำนวนที่ 2 – 3 ศาลชั้นต้นต้องฟังข้อเท็จจริงเพื่อนำไปวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ แล้วจึงพิพากษาว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย ยกฟ้อง ย่อมเป็นการยกฟ้องทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ข้อเท็จจริงรวมมากับข้อกฎหมายว่าเป็นผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องอีก จึงถือได้ว่าศาลทั้งสองยกฟ้องในข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนสำนวนที่ 1 แม้ศาลล่างยกฟ้องเพราะเหตุที่ฟ้องไม่ปรากฏชื่อผู้เรียงอีกเหตุหนึ่งด้วย ก็ต้องห้ามฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 219 เช่นกัน
ย่อยาว
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเขียนเช็คธนาคารไทยพัฒนา จำกัด เลขที่ อี .๘๖๙๑๔๙ สั่งจ่ายเงินสดให้แก่ผู้ถือเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท มีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนี้ และออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้ได้ในขณะที่ออกเช็ค โจทก์ผู้ทรงเช็คได้นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคาร ๆ ปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเงินตามเช็คนั้น ขอศาลลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓(๑) (๓)
สำนวนที่ ๒ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเขียนเช็คธนาคารมณฑลจำกัด เลขที่ ๔๒๓๗๓ สั่งจ่ายเงินสดให้แก่ผู้ถือเป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาท โดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนี้และจำเลยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนเงินสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็ค ธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็ค ขอศาลลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓(๑)(๓)
สำนวนที่ ๓ อัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจออกเช็คธนาคารมณฑลจำกัดเลขที่ ๔๒๓๗๒ สั่งจ่ายเงินสด ๖,๐๐๐ บาทให้กับนางสาวทัศนีย์ โสภณโภไค โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงให้ใช้ได้ในขณะที่ออกเช็คและโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค นางสาวทัศนีย์ได้มอบเช็คให้ผู้มีชื่อไปรับเงินจากธนาคาร ๆ ปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอศาลลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓(๑) (๒) (๓)
ศาลจังหวัดกำแพงเพชรเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏชื่อผู้เรียง เป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๗) ฟังข้อเท็จจริงว่า เช็คเลขที่ อี.๘๖๙๑๔๙ นั้น จำเลยออกเนื่องจากการกู้เงินกัน ๘,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ย ๒,๐๐๐ บาท เกินอัตรา อันเป็นการร่วมกันกระทำผิดกฎหมายเรื่องเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราระหว่างจำเลยกับนางสุรีย์ โดยได้เช็คนี้มาจากนางสุรีย์ ไม่ใช้ได้มาจากตัวจำเลยโดยตรงเรื่องซื้อทอง โจทก์มิได้เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย เช็คเลขที่ ๔๒๓๗๓ เงิน ๔,๐๐๐ บาท ฟังว่าจำเลยออกให้แก่นางสุรีย์ภรรยาโจทก์ เป็นเรื่องจำเลยออกเช็คให้เป็นประกันโดยนางสุรีย์และจำเลยตั้งใจจะให้เป็นหลักฐานเพื่อการกู้ยืมเงินจากบุคคลภายนอก ไม่ได้ตั้งใจจะให้ผูกพันกันตามเช็คนั้น ไม่เชื่อว่านายวิชัยให้จำเลยยืมเงิน เช็คเลขที่ ๔๒๓๗๒ เงิน ๖,๐๐๐ บาท ฟังว่าจำเลยออกเช็คฉบับนี้ให้นางสุรีย์เพื่อเอาไปหาเงินจากบุคคลภายนอก ไม่เชื่อว่าจำเลยกู้ นางสาวทัศนีย์ผู้ร้องทุกข์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้ง ๓ สำนวน
โจทก์ทั้ง ๓ สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เกี่ยวกับเช็คเลขที่ อี.๘๖๙๑๔๙ เงิน ๑๐,๐๐๐ บาทว่า ไม่เชื่อว่าจำเลยออกเช็คให้นายวิชัยโจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อทองดังที่นายวิชัยอ้างเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น เช็คเลขที่ ๔๒๓๗๓ เงิน ๔,๐๐๐ บาท ฟังว่าจำเลยขอยืมเงินนายวิชัย ๔,๐๐๐ บาท แล้วออกเช็คฉบับนี้ให้นายวิชัยไว้ในขณะไปขอกู้ยืมเงิน เช็คเลขที่ ๔๒๓๗๒ เงิน ๖,๐๐๐ บาท ฟังว่าจำเลยยืมเงินนางสาวทัศนีย์ ๖,๐๐๐ บาท แล้วออกเช็คฉบับนี้ให้ยึดถือไว้ เห็นเจตนาของเจ้าหนี้ได้ว่า ถ้าไม่มีเงินในธนาคาร เจ้าหนี้ก็จะดำเนินคดีอาญาบีบบังคับให้ลูกหนี้หาเงินมาชำระจนได้ ก็เท่ากับว่าเจ้าหนี้มีส่วนรวมในการออกเช็คนั้นด้วย เชื่อว่ากรณีเช็ค ๓ สำนวนนี้ นายวิชัยและนางสาวทัศนีย์เรียกร้องเอาเช็คจากจำเลยเป็นประกันการชำระหนี้นายวิชัยและนางสาวทัศนีย์จึงได้ชื่อว่ามีส่วนรวมในการออกเช็คทั้ง ๓ ฉบับที่เป็นมูลพิพาทในคดีนี้ ถือว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงพิพากษายืน
โจทก์ทั้ง ๓ สำนวนฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาอ้างเหตุว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยข้อกฎหมาย คดีโจทก์ไม่ต้องห้ามฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในสำนวนที่ ๒ และที่ ๓ ตามฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลย คดีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาฟังข้อเท็จจริงเพื่อนำไปวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายให้ยกฟ้อง ย่อมเป็นการยกฟ้องทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในชั้นอุทธรณ์ โจทก์ได้โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมา รวมกับอุทธรณ์ในข้อกฎหมายว่า โจทก์เป็นผู้เสียหาย ก็เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เพราะขอให้ฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นเสียก่อนด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องอีก จึงถือได้ว่าศาลทั้งสองพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง สำหรับสำนวนที่ ๑ คงต่างกับสำนวนที่ ๒ และที่ ๓ แต่เพียงที่มีปัญหาเรื่องฟ้องของโจทก์ ไม่ปรากฏชื่อผู้เรียงอันเป็นปัญหาข้อกฎหมายต่างหาก จากปัญหาที่ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เฉพาะปัญหาข้อหลังนี้ต้องถือว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง เช่นเดียวกับสำนวนที่ ๒ และที่ ๓ คดีของโจทก์ทั้ง ๓ สำนวน จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ โจทก์ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ได้พิเคราะห์ฎีกาของโจทก์ตลอดแล้ว เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง จะรับไว้พิจารณามิได้
พิพากษาให้ยกฎีกาของโจทก์เสีย