คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822-823/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อยังไม่ทราบแน่ว่าจำเลยได้ทำผิดฐานแจ้งความเท็จที่กิ่งอำเภอหนองแซง หรือเบิกความเท็จในท้องที่อำเภอเมืองสระบุรี พนักงานสอบสวนกิ่งอำเภอหนองแซงมีอำนาจจับจำเลยไปสอบสวนได้และการที่พนักงานสอบสวนกิ่งอำเภอหนองแซงแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบว่าจำเลยต้องหาฐานแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ ก็เป็นการถูกต้องด้วยข้อเท็จจริงที่ดำเนินมา เพราะเป็นการไม่แน่ว่ากระทำผิดอาญาได้กระทำในท้องที่ใดในระหว่างหลายท้องที่ตาม มาตรา 19(1)

ย่อยาว

จำเลยให้การชั้นสอบสวนที่กิ่งอำเภอหนองแซงอย่างหนึ่ง แล้วมาเบิกความเป็นพยานที่ศาลอีกอย่างหนึ่ง พนักงานสอบสวนกิ่งอำเภอหนองแซงจับจำเลยในเขตอำเภอสระบุรี แล้วพาไปสอบสวนที่กิ่งอำเภอหนองแซงไม่ได้ส่งมาให้พนักงานสอบสวนอำเภอเมืองสอบสวน โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีของศาลที่ตำบลปากเพรียวอำเภอเมืองสระบุรี
ศาลชั้นต้นยกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าความผิดเกิดที่อำเภอเมืองสระบุรี การสอบสวนที่พนักงานสอบสวนกิ่งอำเภอหนองแซงทำมาใช้ไม่ได้ เท่ากับไม่การสอบสวน
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยเบิกความจบลง จำเลยได้กระทำความผิดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จก็กระทำลงในท้องที่กิ่งอำเภอหนองแซง ถ้าเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จก็กระทำลงในท้องที่อำเภอเมืองสระบุรี ฉะนั้นการที่พนักงานสอบสวนกิ่งอำเภอหนองแซงจับตัวจำเลยไปทำการสอบสวนจึงนับว่าชอบด้วยรูปคดีแล้วและเนื่องจากยังไม่ทราบแน่ว่าจำเลยทำผิดฐานใด การที่พนักงานสอบสวนกิ่งอำเภอหนองแซงแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบว่า จำเลยต้องหาฐานแจ้งความเท็จ และเบิกความเท็จก็ เป็นการถูกต้องด้วยข้อเท็จจริงที่ดำเนินมาถึงชั้นนั้น เพราะเป็นการไม่แน่ว่า การกระทำผิดอาญาได้กระทำในท้องที่ใดในระหว่างหลายท้องที่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19(1) จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ

Share