คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4033/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ตาม ป.อ. มาตรา 371 ลงโทษปรับ 100 บาท ความผิดฐานนี้จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ (4) จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าไม่ได้ร่วมกระทำความผิด ขอให้พิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาดังกล่าว ต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกข้อหานี้ขึ้นวินิจฉัย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 83, 91, 295, 358, 364, 365, 371
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายเอนกผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาทำร้ายร่างกาย ทำให้เสียทรัพย์และบุกรุก ส่วนข้อหาพาอาวุธไม่อนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295, 358, 365 ประกอบมาตรา 364, 371 ประกอบมาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91 ข้อหาทำร้ายร่างกาย จำคุก 6 เดือน ข้อหาทำให้เสียทรัพย์ จำคุก 6 เดือน ข้อหาบุกรุกในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 6 เดือน ข้อหาพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ปรับ 100 บาท รวมจำคุก 18 เดือน ปรับ 100 ปรับ ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 6 เดือน สำหรับข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงข้อหาทำร้ายร่างกายและทำให้เสียทรัพย์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295, 371 ประกอบมาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91 ข้อหาทำร้ายร่างกาย จำคุก 6 เดือน ข้อหาพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ปรับ 100 บาท รวมจำคุก 6 เดือน ปรับ 100 บาท ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ และความผิดฐานบุกรุกตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาว่า เมื่อจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมที่หน้าบ้านโดยจำเลยที่ 1 ใช้มีดดาบฟันโจทก์ร่วมได้วิ่งหลบเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตู และมีเสียงมีดฟันประตูจนประตูพัง แล้วจำเลยที่ 1 กับพวกได้วิ่งเข้ามาในบ้านทำร้ายโจทก์ร่วมจนสลบไป เห็นว่า ในปัญหานี้ได้ความจากพันตำรวจตรีสุเนตรพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียในคดีว่าภายหลังเกิดเหตุพยานไปตรวจสถานที่เกิดเหตุโดยมีโจทก์ร่วมเป็นผู้นำชี้ พยานได้ทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุและแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุไว้ แต่ตามเอกสารกลับระบุถึงการตรวจสภาพบ้านของโจทก์ร่วมแล้วไม่พบร่องรอยหรือหลักฐานใด ๆ ในที่เกิดเหตุอันเป็นการแตกต่างกับที่โจทก์ร่วมยืนยันว่าได้ยินเสียงมีดฟันประตูจนประตูพัง แล้วจำเลยที่ 1 กับพวกได้วิ่งเข้ามาทำร้ายโจทก์ร่วมในบ้าน ซึ่งย่อมจะต้องปรากฏร่องรอยที่สามารถมองเห็นได้ชัดแจ้งและเป็นสาระสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฎีกาของโจทก์ร่วม นอกจากนี้ข้อเท็จจริงที่โจทก์ร่วมว่าถูกทำร้ายจนสลบไปนั้น ยังแตกต่างขัดแย้งกับคำเบิกความของนางสาวสุภัทณีบุตรสาวของโจทก์ร่วมเองว่า เมื่อนางสาวสุภัทณีวิ่งออกจากโรงเผาถ่านซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 400 เมตร ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เพื่อจะไปแจ้งให้พี่ชายของโจทก์ร่วมมาช่วยเหลือ ก็ปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้วิ่งตามมาที่บ้านของพี่ชายของโจทก์ร่วมด้วย โดยบริเวณศีรษะของโจทก์ร่วมมีเลือดและบริเวณลำตัวถูกตี ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่า โจทก์ร่วมถูกจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกบุกรุกเข้าไปในบ้านทำร้ายจนสลบไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ในความผิดทั้งสองฐานนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควรตาม ป.อ. มาตรา 371 ปรับ 100 บาท ความผิดฐานนี้จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ (4) จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าไม่ได้ร่วมกระทำผิดคดีนี้ ขอให้พิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาดังกล่าวต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกข้อหานี้ขึ้นวินิจฉัย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เฉพาะข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลอุทธรณ์ภาค 1.

Share