คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า ตนถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรารวม 3 ครั้ง โดยผู้เสียหายได้เบิกความถึง รายละเอียดของการกระทำของจำเลยก่อนทำการข่มขืนกระทำชำเรากับสภาพที่เกิดเหตุ ทั้งได้ลำดับเรื่องราวเป็นลำดับไปและหลังเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ ว.ทราบ ต่อมา ว. เล่าเรื่องให้ ป. มารดาผู้เสียหายทราบ ป. จึงได้สอบถามผู้เสียหายอีกครั้งหนึ่ง ผู้เสียหายรับว่าเป็นความจริง ซึ่ง ว. กับ ป. ได้เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นดังกล่าวไว้ คำของพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกันมีเหตุผลน่าเชื่อฟัง เพราะผู้เสียหายเป็นเด็กสาววัยรุ่นขณะเกิดเหตุอายุ 14 ปีเศษ และไม่มีประสบการณ์ในเรื่องเพศสัมพันธ์มาก่อน หากไม่เป็นความจริงคงไม่กล้านำเอาเรื่องที่น่าอับอายมาเล่าให้ผู้อื่นฟังและได้ความว่าผู้เสียหายเป็นคนมีสติปัญญาไม่ดีแต่พูดจารู้เรื่อง ไม่น่าจะมีความคิดบิดเบือนความจริงหรือแต่งเรื่องขึ้นมาเองเพื่อกล่าวหาจำเลยให้ได้รับโทษเป็นแน่ จากการตรวจร่างกายผู้เสียหายไม่พบร่องรอยใด ๆ เช่นรอยฟกช้ำหรือรอยบาดแผลที่อวัยวะเพศทั้งภายนอกภายในก็ตาม แต่แพทย์เบิกความอธิบายว่า ถ้าผู้หญิงถูกผู้ชายวัย 25 ถึง 30 ปี ข่มขืนกระทำชำเราทุกวันในเวลา 5 วัน ความบอบช้ำของอวัยวะเพศของ ผู้เสียหายก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เสียหายเคยผ่านการร่วมเพศมาหรือไม่ ความรุนแรงในการร่วมเพศและร่างกายถูกทำร้ายด้วยหรือไม่ ถ้าผู้เสียหายมาให้ตรวจร่างกายในระยะเวลาไม่นานหลังจากถูกข่มขืนกระทำชำเราก็อาจจะหาร่องรอยการข่มขืนได้ร่องรอยการถูกข่มขืนจะน้อยหรือมากก็แล้วแต่ความรุนแรงของการถูกข่มขืน ถ้าข่มขืนไม่รุนแรงร่องรอยก็อาจหายในเวลาเพียง 7 ถึง 10 วัน จึงแสดงให้เห็นว่าหากผู้เสียหายมาให้ตรวจร่างกายภายหลังเกิดเหตุประมาณ 10 วันแล้ว และการข่มขืนไม่รุนแรงก็จะไม่พบร่องรอยการถูกข่มขืนดังกล่าวได้ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเรามาแล้วประมาณ 10 วัน แล้วจึงมาให้แพทย์ตรวจร่องรอยดังกล่าวกับปรากฎว่าจำเลยมีภริยาแล้วอาจอาศัยเคยผ่านประสบการณ์การร่วมเพศมาก่อนจึงกระทำการไม่รุนแรงต่อผู้เสียหายในขณะร่วมเพศก็เป็นได้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่พบร่องรอยหรือบาดแผลที่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย นอกจากนี้จากการตรวจร่างกายของผู้เสียหายปรากฎว่าพบเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายมีรอยฉีกขาดแต่ไม่มีรอยบาดแผลหรือแผลหายแล้วนั่นเอง แสดงว่าภายหลังผู้เสียหายถูกกระทำชำเราล่วงพ้นไปแล้ว10 วัน รอยบาดแผลของเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายก็จะหายไปเองดังนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาฟังได้มั่นคงว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก จำคุก 14 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า นางสาวก. ผู้เสียหาย เกิดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2524 ขณะเกิดเหตุมีอายุ 14 ปี 7 เดือนเศษ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายรวม 3 ครั้ง ต่างวันกัน ขณะถูกข่มขืนกระทำชำเราที่บ้านผู้เสียหายไม่มีใครอยู่บ้าน ครั้งแรกถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราที่เรือนข้าวโดยผู้เสียหายขึ้นไปเอามะพร้าวซึ่งเก็บไว้ที่เรือนข้าวพอจะลงมาจำเลยมาทางข้างหลังแล้วเอามืออุดปากผู้เสียหายลากตัวผู้เสียหายขึ้นไปบนกองข้าว จำเลยถอดผ้าถุงผู้เสียหายออก จำเลยถอดกางเกงของจำเลยแล้วเอาอวัยวะเพศใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายผู้เสียหายรู้สึกว่าเข้าไปลึกประมาณ 2 ข้อนิ้วชี้โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมตอนข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยขู่ว่าหากเอาเรื่องไปบอกคนอื่นจะฆ่าผู้เสียหายเสีย ครั้งที่สองผู้เสียหายไปอุจจาระที่ริมป่าทิศตะวันตกของบ้าน ขณะนั้นเป็นเวลาตอนเช้าสว่างแล้วหลังจากอุจจาระเสร็จจะเดินกลับบ้าน จำเลยเดินออกจากป่าตามหลังผู้เสียหายมาแล้วฉุดผู้เสียหายเข้าไปในป่ามัดมือและอุดปากผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยก็ข่มขืนกระทำชำเราเหมือนที่ทำครั้งแรกครั้งที่สามเวลาตอนเช้าผู้เสียหายไปปัสสาวะที่ข้างเรือนข้าวเมื่อปัสสาวะเสร็จผู้เสียหายเดินจะกลับบ้านแต่ยังไม่ทันกลับถึงบ้านจำเลยตามมาด้านหลังใช้มืออุดปากลากตัวผู้เสียหายไปที่ข้างกระสอบข้าว ซึ่งอยู่ข้างเรือนข้าวมีต้นกล้วยอยู่ด้วย แล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเหมือนกับที่ทำครั้งก่อน ๆ ตามภาพถ่ายสถานที่ที่เกิดเหตุ หมาย จ.2 จ.3 (มี 3 ภาพ) จ.4 (มี 2 ภาพ)และนางสาวพ. พยานโจทก์เบิกความว่าบ้านผู้เสียหายอยู่ห่างจากบ้านพยานประมาณ 100 เมตร วันนั้นผู้เสียหายมาอาบน้ำที่บ้านพยานจะเพราะเหตุใดที่ผู้เสียหายต้องมาอาบน้ำที่บ้านพยาน พยานไม่ทราบแล้วผู้เสียหายเล่าให้ฟังว่าถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราแต่ไม่ได้เล่ารายละเอียด อาบน้ำเสร็จ ผู้เสียหายก็กลับบ้าน ต่อมาอีกหลายวันพยานจึงเล่าเรื่องที่ทราบจากผู้เสียหายให้นาง ข.มารดาของผู้เสียหายฟัง เหตุที่เพิ่งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มารดาผู้เสียหายฟังเพราะก่อนหน้านั้นมารดาผู้เสียหายไปเกี่ยวข้าวที่จังหวัดสตูล และเพิ่งกลับมาที่บ้าน นาง ข. มารดาผู้เสียหายพยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2538 พยานปล่อยให้ผู้เสียหายกับพี่ชายพี่สาวของผู้เสียหายอยู่ที่บ้าน ตามปกติเวลากลางวันพี่ชายของผู้เสียหายสองคนจะออกไปทำประมงตั้งแต่เวลา5 นาฬิกา สำหรับพี่สาวจะไปทำนา ต่อมาวันที่ 18 เดือนเดียวกันพยานจึงกลับมาบ้านแล้วนางสาวพ. พยานโจทก์มาบอกพยานว่าจำเลยนี้กับนายสุรินทร์ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจำเลยนี้เป็นพี่ชายของนายสุรินทร์ พยานจึงถามผู้เสียหายอีกครั้ง ผู้เสียหายรับว่าจริงผู้เสียหายเล่าว่าถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรารวม 3 ครั้ง การข่มขืนกระทำชำเราแต่ละครั้งเกิดคนละวันกัน หลังจากทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว พยานได้พาผู้เสียหายไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอหาดสำราญว่า ผู้เสียหายถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราระหว่างวันที่ 12 ถึง 14 กันยายน 2538 รวม 3 ครั้งร้อยตำรวจโทโกศล ปราบกรี พนักงานสอบสวนเบิกความว่า หลังจากผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ว่าถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราแล้วพยานออกไปตรวจที่เกิดเหตุ ทำบันทึกการตรวจที่เกิดเหตุและแผนที่ที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2538เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้ แจ้งข้อหาต่อจำเลยว่าข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย มีอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนจำเลยให้การปฎิเสธ เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าตนถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรารวม 3 ครั้ง โดยครั้งแรกถูกข่มขืนกระทำชำเราที่เรือนข้าว ครั้งที่สองในป่า ครั้งที่สามที่ข้างกระสอบข้าวข้างเรือนข้าวมีต้นกล้วยอยู่ตามภาพถ่ายหมาย จ.2 ถึงจ.4 ซึ่งผู้เสียหายได้เบิกความถึงรายละเอียดของการกระทำของของจำเลยก่อนทำการข่มขืนกระทำชำเรากับสภาพที่เกิดเหตุ ทั้งได้ลำดับเรื่องราวเป็นลำดับไป และหลังเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางสาว พ. พยานโจทก์ทราบ ต่อมานางสาว พ. ได้เล่าเรื่องให้นาง ข. มารดาผู้เสียหายทราบถึงเรื่องที่ผู้เสียหายถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราดังกล่าว นาง ข.มารดาผู้เสียหายได้สอบถามผู้เสียหายอีกครั้งหนึ่งผู้เสียหายก็รับว่าเป็นความจริงซึ่งนาง พ. กับนาง ข. มารดาโจทก์ได้เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นดังกล่าวไว้ คำของพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกันมีเหตุผลน่าเชื่อฟัง เพราะผู้เสียหายเป็นเด็กสาววัยรุ่นขณะเกิดเหตุอายุ 14 ปีเศษ และไม่มีประสบการณ์ในเรื่องเพศสัมพันธ์มาก่อน หากไม่เป็นความจริงคงไม่กล้านำเอาเรื่องที่น่าอับอายมาเล่าให้ผู้อื่นฟัง และได้ความว่าผู้เสียหายเป็นคนมีสติปัญญาไม่ดีแต่พูดจารู้เรื่อง ไม่น่าจะมีความคิดบิดเบือนความจริงหรือแต่งเรื่องขึ้นมาเองเพื่อมากล่าวหาจำเลยให้ได้รับโทษเป็นแน่ และแม้แพทย์หญิงสุดใจ ศรีเพ็งผู้ตรวจร่างกายของผู้เสียหายพยานจำเลยเบิกความว่า จากการตรวจร่างกายผู้เสียหายไม่พบร่องรอยใด ๆ เช่น รอยฟกช้ำหรือรอยบาดแผลที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายทั้งภายนอกและภายในก็ตาม แต่แพทย์หญิงสุดใจเบิกความอธิบายว่า ถ้าผู้หญิงถูกชายวัย 25 ถึง 30 ปี ข่มขืนกระทำชำเราทุกวันในเวลา 5 วัน ความบอบช้ำของอวัยวะเพศของผู้เสียหายก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เสียหายเคยผ่านการร่วมเพศมาหรือไม่ ความรุนแรงในการร่วมเพศและร่างกายถูกทำร้ายด้วยหรือไม่ ถ้าผู้เสียหายมาให้ตรวจร่างกายในระยะไม่นานหลังจากถูกข่มขืนกระทำชำเราก็อาจจะหาร่องรอยการข่มขืนได้ ร่องรอยการการถูกข่มขืนจะน้อยหรือมากก็แล้วแต่ความรุนแรงของการข่มขืนถ้าข่มขืนไม่รุนแรงร่องรอยก็อาจหายในเวลาเพียง 7 ถึง 10 วันจึงแสดงให้เห็นว่าหากผู้เสียหายมาให้ตรวจร่างกายภายหลังเกิดเหตุประมาณ 10 วันแล้ว และการข่มขืนไม่รุนแรงก็จะไม่พบร่องรอยการถูกข่มขืนดังกล่าวได้ ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายบอกว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรามาแล้วประมาณ 10 วัน แล้วจึงมาให้แพทย์ตรวจร่องรอยดังกล่าวกับปรากฎว่า จำเลยมีภริยาแล้วอาจอาศัยเคยผ่านประสบการณ์การร่วมเพศมาก่อนจึงกระทำการไม่รุนแรงต่อผู้เสียหายในขณะร่วมเพศก็เป็นได้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่พบร่องรอยหรือบาดแผลที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายดังกล่าวได้ และแพทย์หญิงสุดใจ ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายเบิกความอีกตอนหนึ่งว่าขณะถูกตรวจร่างกายผู้เสียหายบอกว่า เจ็บที่อวัยวะเพศภายในจึงมีมูลเหตุน่าเชื่อว่าผู้เสียหายถูกร่วมประเวณีมาแล้วหลายครั้งติดต่อกันจริง มิฉะนั้นคงไม่บ่นว่า มีอาการเจ็บที่อวัยวะเพศดังกล่าว และอีกประการหนึ่งจากการตรวจร่างกายของผู้เสียหายครั้งนี้ปรากฎว่าพบเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายมีรอยฉีกขาดแต่ไม่มีรอยบาดแผลหรือแผลหายแล้วนั่นเอง แสดงว่าภายหลังผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราล่วงพ้นไปแล้ว 10 วัน รอยบาดแผลของเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายก็จะหายไปเอง ดังนั้นพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามั่นคงพอที่จะรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องพยานโจทก์ไม่มีข้อพิรุธดังที่จำเลยอ้างในฎีกา ที่จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่นั้น ไม่มีเหตุผลรับฟังและไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยมีกำหนดถึง 14 ปีนั้น เห็นว่า หนักเกินไปจึงเห็นสมควรให้วางกำหนดโทษใหม่”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share