แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่บุคคลหลายคนมีชื่ออยู่ในโฉนดที่ดินซึ่งเรียกว่าเจ้าของรวมนั้นย่อมมีอำนาจจัดการและครอบครองทรัพย์รวมกันและแทนกันได้บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครองบุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ ครอบครองต่อไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1381 ต่อแต่นั้นจึงจะยกอำนาจครอบครองปรปักษ์มาอ้างได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่าพี่ชายโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการและครอบครองทรัพย์สินพิพาทไว้ตลอดมาจนกระทั่งถึงแก่ความตายรวมเวลาครอบครองเกินกว่า 10ปีแต่ไม่ปรากฏเลยว่าพี่ชายโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 ได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ทั้งสองว่าจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์พิพาทจากการครอบครองแทนมาเป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ เมื่อเช่นนี้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาและอยู่ในครัวเรือนเดียวกันจึงยกอำนาจปรปักษ์อ้างแก่โจทก์ทั้งสองไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเมื่อประมาณ พ.ศ. 2463 โจทก์ทั้งสองนางเป้า น.ส.เชื่อม และนายเหน่สามีจำเลยที่ 1 ได้รับมรดกที่นาโฉนดที่ 2654 และที่บ้านโฉนดที่ 3905 จากนายฟักบิดาผู้ตาย แต่ขณะนั้นโจทก์ทั้งสองยังเล็กอยู่โจทก์ทั้งสองและ น.ส.เชื่อมได้อพยพติดตามนางคำมารดาไปอยู่ ณ ที่หลายแห่งจนถึงจังหวัดอุตรดิตถ์ที่อยู่ปัจจุบันแต่โจทก์และมารดาโจทก์มิได้ทอดทิ้งและได้มาเอาค่าข้าวในนาที่โจทก์มีกรรมสิทธิ์โดยคิดกันปีละ 1 เกวียน เมื่อ พ.ศ. 2496 โจทก์ได้รับจดหมายจากจำเลยที่ 2 ว่าศาลได้พิพากษาให้ถอนชื่อโจทก์ทั้งสองและ น.ส.เชื่อมออกจากโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงใส่ชื่อจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของนา และใส่ชื่อจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่บ้านร่วมกันตามคดีแพ่งเลขแดงที่ 25/2495 ระหว่างนางบ่ายโจทก์และนางทองจำเลย ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองกล่าวเท็จให้ศาลหลงเชื่อว่าโจทก์ทั้งสองและ น.ส.เชื่อมละทิ้งที่ดินอพยพไปอยู่ที่อื่นไม่ทราบว่าที่ใด ความจริงโจทก์ทั้งสองมิได้ละทิ้งและจำเลยรู้ดีว่านางเป้า นายเหน่และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทไว้แทนโจทก์ จึงขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์ทั้งสองยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงและเพิกถอนคำพิพากษาคดีแดงที่ 25/2495 โดยถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกและให้ใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองลงในโฉนดตามเดิม
จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่าศาลพิพากษาให้ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยแล้ว โจทก์ทั้งสองไม่เคยเกี่ยวข้องกับที่พิพาทเลย จำเลยที่ 1 และนายเหน่สามีได้ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์มา 18 ปีจนกระทั่งสามีจำเลยที่ 1 ตาย เมื่อพ.ศ. 2493 ต่อนั้นจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ กับตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะไม่ได้ฟ้องภายใน 10 ปี
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและชั้นพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินหน้าโฉนดที่ 2654 และ 3905 ตามส่วนที่มีชื่อในโฉนดและให้เพิกถอนคำพิพากษาคดีแพ่งแดงที่ 25/2495 ที่ให้ถอนชื่อโจทก์ทั้งสองออกจากโฉนดและใส่ชื่อจำเลยทั้งสองแทนนั้นเสีย กับให้ใส่ชื่อจำเลยทั้งสองในโฉนดตามเดิม
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ระหว่างฎีกาจำเลยที่ 1 ตาย นายอนันต์ น.ส.ไพบูลย์ ด.ช.ดำเนิน ด.ช.ชำนาญ และ ด.ญ.สมบัติ โดยนายหวานผู้แทนโดยชอบธรรมรับมรดกความ
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว เห็นว่าในโฉนดที่มีชื่อบุคคลหลายคนซึ่งเรียกว่าเจ้าของรวมนั้นย่อมมีอำนาจจัดการและครอบครองทรัพย์สินรวมกันและแทนกันได้ บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครองบุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ต่อแต่นั้นจึงจะยกอำนาจการครอบครองปรปักษ์มาอ้างได้ แต่ไม่ปรากฏในคดีนี้เลยว่านายเหน่พี่ชายโจทก์ทั้งสองได้ปฏิบัติเช่นนี้จนกระทั่งตาย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยานายเหน่และอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน จึงยกอำนาจปรปักษ์มาอ้างแก่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ดุจเดียวกันศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืนในข้อที่โจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินหน้าโฉนดที่ 2654 และ 3905 ตามส่วนที่มีชื่อในโฉนด