แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ขณะโจทก์นำหนังสือสัญญาค้ำประกันมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีบัญชีอัตราอากรแสตมป์ลักษณะแห่งตราสารข้อ 17(ก) ซึ่งแก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2526 มาตรา 13 บัญญัติให้ผู้ค้ำประกันต้องปิดอากรแสตมป์ 10 บาทในสัญญาค้ำประกันสำหรับกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ แต่ตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2526มาตรา 16 ก็บัญญัติไว้ว่า บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรที่ถูกยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปเฉพาะในการปฏิบัติจัดเก็บภาษีอากรที่ค้างอยู่หรือที่พึงชำระก่อนวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ดังนั้นสัญญาค้ำประกันที่ได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนถูกต้องตามประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับในขณะทำสัญญา จึงยังคงใช้รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของโจทก์จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงาน โดยมีข้อตกลงว่าหากจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์ในเรื่องการงานจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วม เมื่อเดือนเมษายน 2526 จำเลยที่ 1 ได้ขายรถยนต์ของโจทก์ให้แก่นายบุญเจ้า ราคา 260,000 บาท ต่ำกว่าราคาจริง 6,000 บาทจำเลยที่ 1 ได้รับเงินเรียบร้อยแล้ว แต่มอบเงินให้แก่โจทก์เพียง 3,000 บาท พร้อมกับเช็คจำนวน 43,000 บาท ซึ่งอ้างว่าเป็นเช็คที่ผู้ซื้อสลักหลังจ่ายให้แก่โจทก์ โจทก์นำเช็คเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์สอบถามผู้ซื้อจึงทราบความจริงว่าจำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 59,950 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากจำนวนเงิน 43,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า หนังสือค้ำประกันปิดอากรแสตมป์ไม่ถูกต้องรับฟังไม่ได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 59,950 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากเงินจำนวน 43,000บาท นับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2531 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2521 จำเลยที่ 2ได้ทำสัญญาค้ำประกันที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้สำหรับการที่จำเลยที่ 1 สมัครเข้าทำงานกับโจทก์ โดยสัญญาค้ำประกันปิดอากรแสตมป์เพียง 1 บาท มีข้อตกลงว่าหากจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ในเรื่องการงาน จำเลยที่ 2ยอมรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาเมื่อวันที่ 19เมษายน 2526 จำเลยที่ 1 ได้เบียดบังเอาเงินของโจทก์ไป43,000 บาท ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่าสัญญาค้ำประกันต้องปิดอากรแสตมป์ 10 บาท จึงจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้นั้น เห็นว่า แม้ขณะโจทก์นำสัญญาดังกล่าวมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดี บัญชีอัตราอากรแสตมป์ลักษณะแห่งตราสารข้อ 17(ก) ซึ่งแก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2526 มาตรา 13 บัญญัติให้ผู้ค้ำประกันต้องปิดอากรแสตมป์ 10 บาท ในสัญญาค้ำประกันสำหรับกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ แต่ตามพระราชบัญญัติกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2526มาตรา 16 ก็บัญญัติไว้ว่า บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรที่ถูกยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้ให้ยังคงใช้บังคับต่อไป เฉพาะในการปฏิบัติจัดเก็บภาษีอากรที่ค้างอยู่หรือที่พึงชำระก่อนวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ดังนั้นสัญญาค้ำประกันที่ได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนถูกต้องตามประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับในขณะทำสัญญา จึงยังคงใช้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้
พิพากษายืน