คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่บุคคลหลายคนมีชื่อยู่ในโฉนดที่ดินซึ่งเรียกว่าเจ้าของรวมนั้นย่อมมีอำนาจจัดการและครอบครองทรัพย์รวมกันและแทนกันได้ บุคคลใดยึดทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครองบุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่เคยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป ตามป.พ.พ. ม.1381 ต่อแต่นั้นจึงจะยกอำนาจครอบครองปรปักษ์มาอ้างได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่าพี่ชายโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการและครอบครองทรัพย์สินพิพาทไว้ตลอดมาจนกระทั่งถึงแก่ความตายรวมเวลาครอบครองเกินกว่า 10 ปี แต่ไม่ปรากฏเลยว่าพี่ชายโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 ได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ทั้งสองว่าจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์พิพาทจาการครอบครองแทนมาเป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ เมื่อเช่นนี้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาและอยู่ในครัวเรือนเดียวกันจึงยกอำนาจปรปักษ์อ้างแก่โจทก์ทั้งสองไม่ได้.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๖๓ โจทก์ทั้งสองนางเป้า น.ส.เชื่อม และนายเหน่สามีจำเลยที่ ๑ ได้รับมรดกที่นาโฉนดที่ ๒๖๕๕ และที่บ้านโฉนดที่ ๓๙๐๕ จากนายฟักบิดาผู้ตาย แต่ขณะนั้นโจทก์ทั้งสองยังเล็กอยู่โจทก์ทั้งสองและน.ส.เชื่อมได้อพยพติดตามนางคำมารดาไปอยู่ ณ ที่หลายแห่งจนถึงจังหวัดอุตรดิษถ์ที่อยู่ปัจจุบันแต่โจทก์และมารดาโจทก์มีกรรมสิทธิ์โดยคิดกันปีละ ๑ เกวียน เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๖ โจทก์ได้รับจดหมายจากจำเลยที่ ๒ ว่าศาลได้พิพากษาให้ถอนชื่อโจทก์ทั้งสองและ น.ส.เชื่อมออกจากโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของ นา และใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของบ้านที่ร่วมกันตามคดีแพ่งเลขแดงที่ ๒๕/๒๔๙๕ ระหว่างนางบ่ายโจทก์ และนางทองจำเลย ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองกล่าวเท็จให้ศาลหลงเชื่อว่าโจทก์ทั้งสองและน.ส.เชื่อมละทิ้งที่ดินอพยพไปอยู่ที่อื่นไม่ทราบว่าทิศใด ความจริงโจทก์ทั้งสองมิได้ละทิ้ง และจำเลยรู้ดีว่านางเป้านายเหน่และจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทไว้แทนโจทก์ จึงขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์ทั้งสองยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงและเพิกถอนคำพิพากษาคดีแดงที่ ๒๕/๒๔๙๕ โดยถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกและให้ใส่ชื่อทั้งสองลงในโฉนดตามเดิม
จำเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้ว่าศาลพิพากษาให้ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยแล้ว โจทก์ทั้งสองไม่เคยเกี่ยวข้องกับที่พิพาทเลย จำเลยที่ ๑ และนายเหน่สามีได้ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์มา ๑๘ ปีจนกระทั่งสามีจำเลยที่ ๑ ตาย เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ ต่อนั้นจำเลยที่ ๑ ได้ครอบครองมาจนบัดนี้ จำเลยที่ ๑ และสามีไม่ได้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ กับตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะไม่ได้ฟ้องภายใน ๑๐ ปี
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและชั้นพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินหน้าโฉนดที่ ๒๖๕๔ และ ๓๙๐๕ ตามส่วนที่มีชื่อในโฉนดและให้เพิกถอนคำพิพากษาดคดแพ่งแดงที่ ๒๕/๒๔๙๕ ที่ให้ถอนชื่อโจทก์ทั้สองออกจาโฉนดและใส่ชื่อจำเลยทั้งสองแทนนั้นเสีย กับให้ใส่ชื่อจำเลยทั้งสองในโฉนดตามเดิม
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ระหว่างฎีกาจำเลยที่ ๑ ตาย นายอนันต์ น.ส.ไพบูลย์ ด.ช.ดำเนิน ด.ช.ชำนาญ และด.ญ.สมบัติ โดยนายหวานผู้แทนโดยชอบธรรมรับมรดกความ
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว เห็นว่าโฉนดที่มีชื่อบุคคลหลายคนซึ่งเรียกว่าเจ้าของรวมนั้นย่อมมีอำนาจจัดการและครอบครองทรัพย์สินรวมกันและแทนกันได้ บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนครอบครองบุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป ตาม ป.พ.พ. ม.๑๓๘๑ ต่อแต่นั้นจึงจะยกอำนาจการครอบครองปรปักษ์มาอ้างได้ แต่ไม่ปรากฏในคดีนี้เลยว่านายเหน่พี่ชายโจทก์ทั้งสองได้ปฏิบัติเช่นนี้จนกระทั่งตาย จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นภรรยานายเหน่อและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน จึงยกอำนาจปรปักษ์มาอ้างแก่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ดุจเดียวกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืนในข้อที่ให้โจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินหน้าโฉนด ๒๖๕๔ และ ๓๙๐๕ ตามส่วนที่มีชื่อในโฉนด.

Share