คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 351/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ลักษณะและสภาพของบาดแผลจะทำให้ผู้เสียหายถึงต้องหน้าเสียโฉมติดตัว เพราะกระโหลกศีรษะตอนหน้าผากจะเป็นรอยบุบยุบเข้าไป เช่นนี้นับได้ว่า ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297
การที่จำเลยทั้ง 4 วิ่งเข้าไปที่ผู้เสียหายพร้อมกัน แล้วจำเลยที่ 4 ชูปืน พร้อมกับร้องห้ามไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปช่วย และในขณะเดียวกัน จำเลยที่ 1 – 2 – 3 ก็เข้ากลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหาย เช่นนี้ ถือว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิด เป็นตัวการ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจร่วมกันกระทำความผิด ชกต่อย เตะ ใช้เหล็กท่อนเป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายนายสงวนได้รับอันตรายสาหัส โดยหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๒๙๗, ๘๓
จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธ
นายสงวนผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้ง ๔ร่วมกันกระทำผิดตามมาตรา ๒๙๗ จำคุก นายชอ นายสนั่น นายชำนาญ จำเลยคนละ ๖ เดือน นายเย็นจำเลย ๑ ปี ๖ เดือน
จำเลยทั้ง ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ ๑ – ๒ – ๓ ผิดมาตรา ๒๙๕ จำคุก จำเลยที่ ๑ – ๒ คนละ ๒ เดือน จำเลยที่ ๓ หนึ่งปี ยกฟ้องจำเลยที่ ๔
โจทก์ – โจทก์ร่วมฎีกาของให้ลงโทษจำเลยที่ ๔ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงยุติว่า ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเป็นบาดแผลบริเวณเหนือคิ้วขวา ๒ แผล แผลใหญ่ยาว ๑ นิ้ว ลึกถึงกระโหลก กระโหลกศีรษะยุบและทะลุถึงเยื่อหุ้มสมอง นายแพทย์มั่นสิทธิเบิกความว่า ผลของการเอกซเรย์ปรากฏว่ากระดูกหน้าผากของกระโหลกศีรษะยุบเข้าไป เมื่อหายแล้วหน้าจะเสียโฉม เพราะกระโหลกศีรษะบุบยุบเข้าไปซึ่งเป็นการแสดงถึงลักษณะและสภาพของบาดแผลให้ศาลวินิจฉัยได้แล้วว่า บาดแผลนี้จะทำให้ผู้เสียหายถึงต้องหน้าเสียโฉมติดตัว เพราะกระโหลกศีรษะตอนหน้าผากจะเป็นรอยบุบยุบเข้าไป คดีเป็นอันฟังได้ว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายรับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๗
และเห็นว่า การที่จำเลยทั้ง ๔ วิ่งเข้าไปที่ผู้เสียหายพร้อมกัน แล้วจำเลยที่ ๔ ชูปืนพร้อมกับร้องห้ามไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปช่วย และในขณะเดียวกัน จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ก็เข้ากลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหาย เช่นนี้ ย่อมต้องถือว่าจำเลยที่ ๔ ได้ร่วมกระทำผิดด้วย จึงเป็นตัวการ พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share