คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 821/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาททำนาจำเลยก็มิได้ให้การต่อสู้ว่าเช่าที่พิพาททำนาคดีจึงไม่ตกอยู่ในบังคับที่จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ก่อนฟ้อง โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์เดิมมารดาโจทก์ให้ส.เช่าทำนาต่อมาส. เลิกทำนาและย้ายครอบครัวออกไปแต่จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นพี่น้องของส. ยังคงปลูกบ้านอยู่บนที่พิพาทโดยไม่มีสิทธิใดๆขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อบ้านแต่ละหลังออกไปเป็นการอ้างว่าจำเลยทั้งสามเข้าไปอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิส.และจำเลยทั้งสามก็ให้การว่าที่พิพาทเป็นของมารดาจำเลยทั้งสามจำเลยทั้งสามครอบครองที่พิพาทตลอดมาจำเลยทั้งสามจึงมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีโจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีเดียวกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา59 โจทก์บรรยายฟ้องว่าส. เช่าที่พิพาทโฉนดเลขที่7และ11จากมารดาโจทก์ต่อมารดาโจทก์ถึงแก่กรรมโจทก์และพี่น้องจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์มาแล้วต่อมาส. ได้เลิกทำนาและย้ายครอบครัวออกไปแล้วแต่จำเลยทั้งสามไม่ออกขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านออกไปตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าโจทก์มีเจตนาจะขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่7และ11ตั้งแต่ต้นเหตุที่โจทก์ไม่ได้ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่11ด้วยก็เพราะพิมพ์ข้อความตกไปฉะนั้นการที่โจทก์ขอแก้ไขคำขอท้ายฟ้องโดยขอเพิ่มเติมที่ดินโฉนดเลขที่11จึงเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยไม่อยู่ในบังคับทีจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา180วรรคสองและอาจทำได้แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องให้จำเลยทั้งสามมีโอกาสคัดค้านตามมาตรา21(2)และไม่ต้องส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยทั้งสามทราบล่วงหน้าอย่างน้อย3วันก่อนกำหนดนัดพิจารณาคำร้องตามมาตรา181(1) คดีมีประเด็นโต้เถียงกันแต่เพียงว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใดเท่านั้นไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142และมาตรา183ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ถูกต้องได้ โฉนดที่ดินเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นจึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา127

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2512นายเสริม มาบรรดิษฐ์ ทำสัญญาเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 7 และ 11ตำบลท่าเสา อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 33 ไร่20 ตารางวาและ 19 ไร่ 84 ตารางวา ตามลำดับจากนางสาลี่ตู้จินดา มารดาโจทก์เพื่อทำนา เมื่อมารดาโจทก์ถึงแก่กรรมโจทก์และพี่น้องโจทก์รวม 7 คนได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2520 ต่อมา นายเสริมเลิกทำนาและย้ายครอบครัวออกไปจากที่ดินที่เช่า แต่จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นพี่น้องของนายเสริมยังคงปลูกบ้านอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 7 โดยไม่มีสิทธิใด ๆ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านออกไปหรือมาทำสัญญาเช่า แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามขนย้ายรื้อถอนบ้านเลขที่ 24, 27 และที่ 5 หมู่ที่ 8 ตำบลท่าเสาอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ตามลำดับ ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7 และ 11 ของโจทก์และให้จำเลยแต่ละคนชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 1,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนกลับบ้านออกไป
จำเลยทั้งสามให้การว่า ฟ้องโจทก์อ้างว่านายเสริมเช่าที่ดินทั้งสองแปลงจากมารดาโจทก์ใช้ทำนาเรื่อยมา ต่อมานายเสริมเลิกทำนาและออกไป แต่จำเลยทั้งสามยังคงอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7โดยความจริงแล้วโจทก์ทราบว่าจำเลยทั้งสามยังคงทำนาอยู่ในที่ดินดังกล่าว จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างถึงการเช่าที่ดินทำนา เมื่อโจทก์มิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยทั้งสามแต่ละคนเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 24, 27 และ 5 ตามลำดับ บ้านของจำเลยที่ 2 ปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 11 มิได้ปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7 จำเลยทั้งสามไม่ได้ครอบครองที่ดินร่วมกันอีกทั้งมิได้เป็นบริวาร ผู้เช่าช่วงหรืออาศัยสิทธิของนายเสริมในการเข้ามาอยู่ในที่ดินและนายเสริมไม่ได้เช่าที่ดินจากมารดาโจทก์เพื่อทำนาดังนั้น ข้อโต้แย้งสิทธิหน้าที่ระหว่างจำเลยแต่ละคนกับโจทก์จึงไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ลูกหนี้ร่วมของโจทก์โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นคดีเดียวกันอย่างลูกหนี้ร่วม จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาอีกทั้งโจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องที่ดินทั้งสองแปลงไม่ใช่ของโจทก์กับพี่น้องโจทก์หรือมารดาโจทก์แต่เป็นของบิดามารดาจำเลยทั้งสามโดยที่ดินโฉนดเลขที่ 7 นางไหมทอง มาบันดิสถ์ มารดาจำเลยทั้งสามได้รับโอนโดยการให้จากนายเพ็ชร จ้อยชะรัด ซึ่งเป็นบิดาของมารดาจำเลยทั้งสามแล้วนำไปจำนองแก่กับนางหรีด ดียิ้ม ต่อมาวันที่22 มิถุนายน 2487 นางไหมทองไถ่ถอนจำนองจากนางหรีดแล้วนำไปจำนองแก่นางสาลี่ ตู้จินดา ในวันเดียวกันภายหลังนางไหมทองขอไถ่ถอนจำนองหลายครั้ง แต่นางสาลี่ไม่ยินยอมทำให้นางไหมทองเสียใจจนถึงแก่กรรม หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามเข้ายึดถือครอบครองที่ดินตลอดมา และภายหลังทราบว่ามีการปลอมข้อความในโฉนดที่ดินแปลงนี้ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 11 นายแป๊ะ มาบันดิสถ์บิดาจำเลยทั้งสามนำไปจำนองแก่นางหรีด เมื่อนายแป๊ะถึงแก่กรรมจำเลยที่ 2 เข้ายึดถือครอบครองมาโดยตลอดและภายหลังทราบว่ามีการปลอมข้อความในโฉนดที่ดินแปลงนี้เช่นกันจำเลยทั้งสามครอบครองที่ดินโดยเจตนาเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยเป็นเวลากว่า 30 ปี แล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนบ้านเลขที่ 24จำเลยที่ 2 รื้อถอนบ้านเลขที่ 27 จำเลยที่ 3 รื้อถอนบ้านเลขที่ 5หมู่ที่ 5 ตำบลท่าเสา อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาครออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7 และ 11 ตำบลท่าเสา อำเภอกระทุ่มแบนจังหวัดสมุทรสาคร ให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหายคนละเดือนละ500 บาท นับแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2536 ซึ่งเป็นวันฟ้องไปจนกว่าจะรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไป
จำเลย ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สาม ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยทั้งสามฎีกาต่อไปว่า คดีนี้ตกอยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายดังกล่าวจึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยทั้งสามโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยทั้งสามเช่าที่พิพาททำนา จำเลยทั้งสามก็มิได้ให้การต่อสู้ว่าเช่าที่พิพาททำนาคดีจึงไม่ตกอยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น จำเลยทั้งสามฎีกาต่อไปว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีเดียวกันไม่ชอบเห็นว่า บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปอาจเป็นคู่ความในคดีเดียวกันได้ถ้าหากปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 คดีนี้ โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์เดิมมารดาโจทก์ให้นายเสริม มาบรรดิษฐ์เช่าทำนา ต่อมานายเสริมเลิกทำนาและย้ายครอบครัวออกไปแต่จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นพี่น้องของนายเสริมยังคงปลูกบ้านอยู่บนที่พิพาทโดยไม่มีสิทธิใด ๆขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อบ้านออกไปจากที่พิพาท เห็นได้ว่าโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสามเข้าไปอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธินายเสริมและจำเลยทั้งสามก็ให้การว่า ที่พิพาทเป็นของมารดาจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามครอบครองที่พิพาทตลอดมา จำเลยทั้งสามจึงมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีเดียวกันได้ตามบทกฎหมายดังกล่าว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น จำเลยทั้งสามฎีกาต่อไปว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง โดยเพิ่มเติมคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสามออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 11 ด้วย โดยไม่ให้จำเลยทั้งสามคัดค้านก่อนนั้นไม่ชอบ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่านายเสริมได้เช่าที่พิพาทโฉนดเลขที่ 7 และ 11 จากมารดาโจทก์ ต่อมามารดาโจทก์ถึงแก่กรรม โจทก์และพี่น้องจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์มาแล้วต่อมานายเสริมได้เลิกทำนาและย้ายครอบครัวออกไปแล้วแต่จำเลยทั้งสามไม่ออกไป ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านออกไป จำเลยทั้งสามให้การรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 11 จริงเพียงแต่ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสามเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำให้การของจำเลยทั้งสาม ตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าโจทก์มีเจตนาจะขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7 และ 11ตั้งแต่ต้น เหตุที่โจทก์ไม่ได้ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 11 ด้วย ก็เพราะพิมพ์ข้อความตกไปฉะนั้น การที่โจทก์ขอแก้ไขคำขอท้ายฟ้องโดยขอเพิ่มเติมที่ดินโฉนดเลขที่ 11 จึงเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180 วรรคสอง และเมื่อเป็นคำร้องขอแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยจึงเป็นคำร้องที่โจทก์อาจทำได้แต่ฝ่ายเดียว ศาลมีอำนาจอนุญาตได้โดยไม่ต้องให้จำเลยทั้งสามมีโอกาสคัดค้าน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(2) และไม่ต้องส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยทั้งสามทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วันก่อนกำหนดนัดพิจารณาคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 181(1) ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้นจำเลยทั้งสามฎีกาต่อไปว่าจำเลยทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วเห็นว่า ประเด็นข้อนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่า คดีนี้มีประเด็นโต้เถียงกันแต่เพียงว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใดเท่านั้น ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์แต่ประการใดเพราะการครอบครองปรปักษ์จะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และมาตรา 183 ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ถูกต้องได้ จำเลยทั้งสามมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่กลับกล่าวในฎีกาทำนองเดียวกับกล่าวในอุทธรณ์ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสามจึงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยทั้งสามฎีกาต่อไปว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ เพราะบิดามารดาจำเลยทั้งสามไม่ได้ขายที่พิพาทให้มารดาโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดและมีชื่อโจทก์กับพี่น้องโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ปรากฏตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.1 และล.2 เห็นว่า โฉนดที่ดินทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น จึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสามต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 จำเลยทั้งสามคงมีจำเลยทั้งสามและผู้อื่นซึ่งเป็นญาติของจำเลยทั้งสามมาเบิกความลอย ๆ ว่า มีการปลอมข้อความในสารบาญจดทะเบียนโดยไม่ชอบข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์และพี่น้องโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share