คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 มาตรา 8(5) ป้ายที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายจะต้องเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐาน เว้นแต่จะเป็นป้ายตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์จะก็ไม่ได้รับยกเว้นเพราะข้อความตอนท้ายของมาตรา 8(5) ไม่รวมถึงป้ายดังกล่าว ดังนั้น หากไม่ใช่ป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐานแล้ว แม้จะเป็นป้ายตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องเสียภาษีป้ายมาตรา 8(5) ดังกล่าว
ป้ายพิพาทสามารถมองเห็นได้จากภายนอกสถานที่ประกอบการค้าหรือสถานที่ประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้และเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายนอกอาคาร ป้ายดังกล่าวแม้จะติดตั้งไว้ภายในรั้วของโจทก์ บนหลังคาอาคาร ผนังภายนอกอาคารหรือบริเวณของสถานที่ประกอบการค้าหรือสถานที่ประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้ ก็หาเป็นป้ายที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายตามมาตรา 8(5) แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 เพราะบทมาตราดังกล่าวมุ่งประสงค์ยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายเฉพาะป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารอันเป็นที่รโหฐานเท่านั้น กล่าวคือ ต้องเป็นป้ายที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกของสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือจากภายนอกอาคาร
ส่วนปัญหาที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางที่วินิจฉัยว่า ป้ายพิพาทไม่เป็นป้ายตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ. 2499มาตรา 15 นั้น เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าป้ายพิพาทไม่ใช่ป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐานแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าป้ายพิพาทเป็นป้ายตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์อีก เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้แจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีป้ายในเขตบางซื่อและเขตจตุจักรประจำ พ.ศ. 2533 รวมเป็นเงิน 211,470 บาท และประจำ พ.ศ. 2534 รวมเป็นเงิน 203,210 บาท โจทก์ได้ชำระภาษีป้ายตามที่ได้รับแจ้งการประเมินแล้ว แต่โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินภาษีป้ายสำหรับป้ายที่อยู่ในเขตบางซื่อจำนวน 10 รายการ และป้ายที่อยู่ในเขตจตุจักรจำนวน 4 รายการ รวมปีละ 14รายการ โดยโจทก์เห็นว่าป้ายทั้ง 14 รายการ ทั้งประจำ พ.ศ. 2533 และ พ.ศ. 2534เป็นป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้ซึ่งได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายตามมาตรา 8(5) แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 จึงยื่นอุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 2 ขอให้พิจารณาการประเมินภาษีป้ายดังกล่าวเสียใหม่ โดยขอยกเว้นภาษีป้ายจำนวน 14 รายการ ทั้งในเขตบางซื่อและเขตจตุจักรพร้อมทั้งขอให้คืนค่าภาษีป้ายที่โจทก์ได้ชำระไปแล้ว ครั้นเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2536 โจทก์ได้รับแบบแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า ป้ายที่ติดตั้งอยู่ในเขตบางซื่อ ใน พ.ศ. 2533และ พ.ศ. 2534 ได้รับยกเว้นภาษีป้ายและเพิกถอนการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำนวน 6 รายการ คิดเป็นค่าภาษีปีละ 51,110 บาท และชี้ขาดยืนตามการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำนวน 4 รายการ โดยไม่ได้ยกเว้นและคืนค่าภาษีป้ายให้แก่โจทก์ คงเหลือค่าภาษีที่โต้แย้งกันในส่วนนี้เป็นเงินปีละ 10,700 บาท และป้ายที่ติดตั้งอยู่ในเขตจตุจักรใน พ.ศ. 2533 และ พ.ศ. 2534 ได้ชี้ขาดยืนตามการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้ยกเว้นและคืนค่าภาษีป้ายให้แก่โจทก์ทั้ง 4 รายการ คงเป็นค่าภาษีที่โต้แย้งกันในส่วนนี้เป็นเงินปีละ 141,400บาท ซึ่งโจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินเรียกเก็บภาษีป้ายประจำ พ.ศ. 2533 และ พ.ศ. 2534 ของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวป้ายทุกรายการดังกล่าวข้างต้นเป็นป้ายที่โจทก์แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าเพื่อหารายได้และไม่ใช่ป้ายตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์ จึงเป็นป้ายที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายตามความในมาตรา 8(5) แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510รวมค่าภาษีป้ายประจำ พ.ศ. 2533 และ พ.ศ. 2534 ที่จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันคืนให้แก่โจทก์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 304,200 บาท ขอให้เพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีป้ายของจำเลยที่ 1 ตามแบบแจ้งการประเมินภาษีป้าย (ภ.ป.3) เขตบางซื่อ ที่ 001/2533 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2533, เขตบางซื่อ ที่ กท.9046/4/2534 ลงวันที่ 5 เมษายน 2534,เขตจตุจักร ที่ 11/2533 ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2533 และเขตจตุจักรที่ 3/2534 ลงวันที่11 มีนาคม 2534 และให้เพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ตามแบบแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์(ภ.ป.5) ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2536 รวมจำนวน 4 ฉบับ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินภาษีป้ายที่ได้เรียกเก็บไปโดยมิชอบ จำนวน 304,200 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ต้องเสียภาษีป้ายทุกรายการการประเมินเรียกเก็บภาษีป้ายของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ประจำ พ.ศ. 2533 และ พ.ศ. 2534 และการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เป็นการถูกต้องชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีป้ายของจำเลยที่ 1 ตามแบบแจ้งการประเมินภาษีป้าย (ภ.ป.3) เขตบางซื่อที่ 001/2533 ลงวันที่20 มีนาคม 2533, เขตบางซื่อ ที่ กท.9046/4/2534 ลงวันที่ 5 เมษายน 2534, เขตจตุจักรที่ 11/2533 ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2533 และเขตจตุจักร ที่ 3/2534 ลงวันที่ 11 มีนาคม2534 และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ตามแบบแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์(ภ.ป.5) ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2536 รวม 4 ฉบับ และให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีป้ายจำนวน 304,200 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1กรกฎาคม 2536 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะคืนเงินให้แก่โจทก์เสร็จ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ตามที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์ว่า ป้ายพิพาทของโจทก์เป็นป้ายตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้แจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีป้ายในเขตบางซื่อและเขตจตุจักรประจำ พ.ศ. 2533 รวมเป็นเงิน 211,470 บาท และประจำ พ.ศ. 2534เป็นเงิน 203,210 บาท โจทก์ได้ชำระค่าภาษีป้ายตามที่แจ้งการประเมินไว้แล้ว แต่โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินภาษีป้ายสำหรับป้ายที่อยู่ในเขตบางซื่อจำนวน 10 รายการ และป้ายที่อยู่ในเขตจตุจักรจำนวน 4 รายการ จึงได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินต่อจำเลยที่ 2 ขอให้พิจารณาการประเมินภาษีป้ายดังกล่าวเสียใหม่โดยขอยกเว้นและขอให้คืนภาษีป้ายประจำพ.ศ. 2533 เป็นเงิน 203,210 บาท และ พ.ศ. 2534 เป็นเงิน 203,210 บาท ต่อมาจำเลยที่ 2 มีคำวินิจฉัยว่าป้ายที่ติดตั้งอยู่ในเขตบางซื่อประจำ พ.ศ. 2533 และ พ.ศ. 2534 ได้รับยกเว้นภาษีป้ายและเพิกถอนการประเมินจำนวน 6 รายการและยืนตามการประเมินจำนวน 4 รายการ ส่วนป้ายที่ติดตั้งอยู่ในเขตจตุจักรประจำ พ.ศ. 2533 และ พ.ศ. 2534ยืนตามการประเมิน มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่า ป้ายพิพาทได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 มาตรา 8(5) หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 มาตรา 8 บัญญัติว่า “เจ้าของป้ายไม่ต้องเสียภาษีป้ายสำหรับป้ายดังต่อไปนี้….(5) ป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐาน แต่ไม่รวมถึงป้ายตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์” จากบทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า ป้ายที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายจะต้องเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐาน เว้นแต่จะเป็นป้ายตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์จะก็ไม่ได้รับยกเว้นเพราะข้อความตอนท้ายของมาตรา 8(5) ไม่รวมถึงป้ายดังกล่าว ดังนั้น หากไม่ใช่ป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐานแล้ว แม้จะเป็นป้ายตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องเสียภาษีป้ายมาตรา 8(5)ดังกล่าว สำหรับป้ายพิพาทตามแบบแสดงรายการภาษีป้ายประจำ พ.ศ. 2533 และประจำพ.ศ. 2534 ของโจทก์ที่ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 สำนักงานเขตบางซื่อตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 4-5 รายการ ที่ (1), (3), (4) และ (5) รวม 7 ป้าย จากการเผชิญสืบป้ายพิพาทตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 24 สิงหาคม 2537 และภาพถ่ายป้ายพิพาทเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 33/1, 34, 35 และ 36 ปรากฏว่าป้ายพิพาทบางป้ายติดตั้งไว้ข้างไซโลบรรจุปูนซิเมนต์ผง บางป้ายติดตั้งไว้ที่ผนังไซโลบรรจุปูนซิเมนต์ผงและบางป้ายติดตั้งไว้หน้าอาคารทุกป้ายอยู่นอกอาคาร โดยไซโลหรืออาคารดังกล่าวอยู่ในอาณาบริเวณสำนักงานใหญ่ของโจทก์ ซึ่งมีรั้วล้อมรอบ ป้ายทุกป้ายดังกล่าวคู่ความรับกันว่าเป็นป้ายอยู่นอกอาคารแต่อยู่ภายในรั้วของโจทก์ ซึ่งทุกป้ายมองเห็นจากถนนสาธารณะหรือทางรถไฟด้านที่ป้ายหันหน้าออก ส่วนป้ายพิพาทตามแบบแสดงรายการภาษีป้ายประจำ พ.ศ. 2533 และประจำ พ.ศ. 2534 ของโจทก์ที่ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 สำนักงานเขตจตุจักร ตามเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 1 รายการที่ (1), (2),(3) และ (4) รวม 5 ป้าย จากการเผชิญสืบดังกล่าวและภาพถ่ายป้ายพิพาทเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 37, 38 และ 39 ปรากฏว่าป้ายพิพาทบางป้ายติดตั้งไว้บนหลังคาไซโลบรรจุปูนซิเมนต์ผง บางป้ายติดตั้งบนหลังคากับข้างอาคารสำนักงานขาย – คลังสินค้าและบางป้ายติดตั้งบนหลังคาสำนักงานศูนย์จ่ายซิเมนต์พหลโยธิน ซึ่งทุกป้ายแสดงหรือติดตั้งอยู่ภายนอกอาคารป้ายพิพาทรายการที่ (1) และ (2) มองเห็นภายนอกรั้วของการรถไฟแห่งประเทศไทย ป้ายพิพาทรายการที่ (3) มองเห็นได้จากภายในรั้วของการรถไฟแห่งประเทศไทย ป้ายพิพาทรายการที่ (4) มองเห็นได้จากถนนกำแพงเพชร 1 ซึ่งอยู่นอกรั้วของการรถไฟแห่งประเทศไทย สภาพบริเวณของเลขที่ 204/1 มีอาคารสำนักงานขายและคลังสินค้าของโจทก์สำหรับให้ลูกค้าของโจทก์มาติดต่อซื้อสินค้าและรับสินค้าไป โดยมีรั้วของการรถไฟแห่งประเทศไทยผู้ให้โจทก์เช่าที่ดินล้อมรอบ นอกจากนี้มีอาคารของบริษัทอื่นที่เช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทยรวมอยู่ในรั้วเดียวกันด้วย ส่วนสภาพบริเวณของศูนย์จ่ายซิเมนต์พหลโยธินเลขที่ 204 มีอาคารจ่ายอยู่ด้านหน้า ด้านหลังถัดไปเป็นอาคารและไซโลเก็บปูนซิเมนต์ผงของโจทก์ คู่ความรับกันว่าสภาพเดิมในปี 2533 และ2534 มีรั้วของการรถไฟแห่งประเทศไทยผู้ให้โจทก์เช่าที่ดินล้อมรอบ โจทก์ใช้เป็นสถานที่ให้ลูกค้าที่ได้ซื้อปูนซิเมนต์จากโจทก์มารับปูนซิเมนต์ไป ศาลฎีกาเห็นว่า ป้ายพิพาทสามารถมองเห็นได้จากภายนอกสถานที่ประกอบการค้าหรือสถานที่ประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้และเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายนอกอาคาร ป้ายดังกล่าวแม้จะติดตั้งไว้ภายในรั้วของโจทก์ บนหลังคาอาคาร ผนังภายนอกอาคารหรือบริเวณของสถานที่ประกอบการค้าหรือสถานที่ประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้ ก็หาเป็นป้ายที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายตามมาตรา 8(5) แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 เพราะบทมาตราดังกล่าวมุ่งประสงค์ยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายเฉพาะป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารอันเป็นที่รโหฐานเท่านั้น กล่าวคือต้องเป็นป้ายที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกของสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือจากภายนอกอาคารที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า ป้ายพิพาทเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายในอาณาบริเวณพื้นที่ต่อเนื่องกับตัวอาคารซึ่งใช้เป็นสถานที่ประกอบการค้าจึงเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้านั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนปัญหาที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางที่วินิจฉัยว่าป้ายพิพาทไม่เป็นป้ายตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ. 2499 มาตรา 15 นั้น เห็นว่า เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าป้ายพิพาทไม่ใช่ป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐานแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า ป้ายพิพาทเป็นป้ายตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์อีก เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง

พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share