คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8191/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อ ว. สายลับผู้ล่อซื้อไปถึงบ้านของจำเลยที่ 1 ตามที่นัดหมายก็ได้ซื้อแอปเปิ้ลจำนวน 2 กล่อง ไปให้จำเลยที่ 1 บรรจุเมทแอมเฟตามีนและจำเลยที่ 1 ได้นำกล่องแอปเปิ้ลให้จำเลยที่ 2 บุตรชายนำไปบรรจุเมทแอมเฟตามีนที่กระท่อมในส่วนตรงข้ามบ้านของจำเลยที่ 1 ว. ได้ให้ สัญญาณและเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมขณะที่จำเลยที่ 2 กำลังนำเอาเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนในกล่องกระดาษโดยยังมิได้ส่งมอบ ดังนี้ การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างสายลับและจำเลยทั้งสองยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองอยู่ในระหว่างการพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน
ขณะเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จำเลยที่ 1 กำลังยืนถือวิทยุมือถืออยู่ที่หน้าบ้านเพื่อคอยดักฟังความเคลื่อนไหวของเจ้าพนักงานตำรวจ และสามารถมองเห็นกระท่อมร้างในสวนหน้าบ้านของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสถานที่จับจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลาง ก่อนการจับกุม ว. ได้ติดต่อกับจำเลยที่ 1 เพื่อขอวางมัดจำซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน100,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ไม่ตกลงและนัดให้ ว. ไปพบใหม่และวางมัดจำ 150,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 โดยนัดรับเมทแอมเฟตามีนในวันจับกุม ดังนี้ เมื่อประกอบพยานหลักฐานอื่นตามสำนวนแล้วฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบของกลาง

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 66 วรรคสองการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 25 ปี เมทแอมเฟตามีนเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดจึงให้ริบ

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ร้อยตำรวจเอกอรุณสวัสดิ์ ยอดกระโทกกับพวกจับกุมจำเลยที่ 1 ได้ที่บริเวณบ้านของจำเลยที่ 1 และจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ที่กระท่อมร้างในส่วนหน้าบ้าน ซึ่งอยู่คนละฝั่งถนนและห่างจากบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 20 เมตร ในขณะที่จำเลยที่ 2 กำลังนำเอาเมทแอมเฟตามีนจำนวน 6,000 เม็ด หรือ 3 ห่อกระดาษบรรจุลงในกล่องกระดาษหรือกล่องแอปเปิ้ลตามภาพถ่ายหมาย จ.2 ภาพที่ 2 ถึงภาพที่ 4 และภาพถ่ายหมาย จ.3 เพื่อส่งมอบให้แก่นายวิวัฒน์ สุจริตพิทักษ์ สายลับผู้ล่อซื้อจึงยึดไว้เป็นของกลาง และพนักงานสอบสวนได้ส่งของกลางดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์แล้วเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 131.6 กรัม โดยจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่ายอีกกระทงหนึ่งด้วย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่สถานใด ซึ่งข้อนี้ความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น เมื่อความปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของนายวิวัฒน์สายลับเอกสารหมายจ.13 ว่า เมื่อนายวิวัฒน์ไปถึงบ้านของจำเลยที่ 1 ตามที่นัดหมายก็ได้ซื้อแอปเปิ้ลจำนวน 2 กล่อง ไปให้จำเลยที่ 1 บรรจุเมทแอมเฟตามีนและจำเลยที่ 1 ได้นำเอากล่องแอปเปิ้ลให้จำเลยที่ 2 บุตรชายนำไปบรรจุเมทแอมเฟตามีนที่กระท่อมในสวนตรงข้ามบ้านของจำเลยที่ 1 ในจังหวะนั้นนายวิวัฒน์ได้ให้สัญญาณแก่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมขณะที่จำเลยที่ 2 กำลังนำเอาเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนในกล่องกระดาษตามภาพถ่ายหมาย จ.2 ภาพที่ 2 ถึงภาพที่ 4 กรณีเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1หรือจำเลยที่ 2 ยังมิได้ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนที่นายวิวัฒน์ล่อซื้อให้แก่นายวิวัฒน์ ดังนี้ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4 ให้คำวิเคราะห์ศัพท์คำว่า จำหน่าย หมายความว่า ขาย จ่ายแจก แลกเปลี่ยน ให้ การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างสายลับและจำเลยทั้งสองยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ เนื่องจากจำเลยทั้งสองถูกจับเสียก่อนส่งมอบเมทแอมเฟตามีน การกระทำของจำเลยทั้งสองอยู่ในระหว่างการพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว จึงเป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเท่านั้น ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 2 จะให้การรับสารภาพและไม่อุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมานั้นยังไม่ถูกต้องศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน

มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ร้อยตำรวจเอกอรุณสวัสดิ์พยานโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1ถามค้านว่า ในวันจับกุมจำเลยที่ 1 ได้แบ่งกำลังเจ้าพนักงานตำรวจออกเป็น 2 ชุด โดยชุดของนายดาบตำรวจกฤษดา อริณต๊ะทรายได้เข้าไปจับกุมจำเลยที่ 1 ก่อนชุดของพยานและตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 ได้ระบุว่าขณะเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 กำลังยืนถือวิทยุมือถืออยู่ที่หน้าบ้าน และสามารถมองเห็นกระท่อมร้างในสวนหน้าบ้านของจำเลยที่ 1 ได้ โดยเรื่องนี้นายดาบตำรวจกฤษดาพยานโจทก์เบิกความว่าพยานกับพวกซุ่มอยู่ได้ประมาณ 10 นาที สายลับได้กดสัญญาณวิทยุตามที่ตกลงไว้ ชุดของพยานก็ได้เข้าไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 พบจำเลยที่ 1 ยืนถือวิทยุมือถืออยู่ที่หน้าบ้านเพื่อคอยดักฟังความเคลื่อนไหวของเจ้าพนักงานตำรวจ ส่วนสายลับนั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านสายลับใช้ปากชี้ไปทางกระท่อมร้าง ชุดของร้อยตำรวจเอกอรุณสวัสดิ์จึงไปที่กระท่อมร้างดังกล่าว และจับจำเลยที่ 2 ได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลาง และเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าวิทยุมือถือจำเลยที่ 1 เคยใช้ในราชการตอนเป็นสารวัตรกำนัน แต่ปัจจุบันออกจากราชการแล้วพยานได้นำวิทยุมือถือไปมอบให้พนักงานสอบสวนด้วย ซึ่งพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวได้ความเป็นที่สอดคล้องต้องกันโดยจำเลยที่ 1 เองก็มิได้สืบพยานคัดค้านว่าเอกสารหมาย จ.1 มีพิรุธหรือไม่น่าเชื่อถือแต่ประการใดอีกทั้งพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวก็ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน กรณีย่อมไม่มีเหตุที่พยานจะเบิกความเพื่อใส่ร้ายจำเลยที่ 1โดยปราศจากมูลความจริง พยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุผลและน้ำหนักให้รับฟัง นอกจากนี้ปรากฏตามคำให้การของนายวิวัฒน์ในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.13 ถึงแม้จะมีน้ำหนักน้อยแต่ก็รับฟังประกอบพยานอื่นของโจทก์ได้ว่าเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2539 เวลา 17 นาฬิกา นายวิวัฒน์ได้ไปติดต่อกับจำเลยที่ 1 ครั้งหนึ่งเพื่อจะขอวางมัดจำซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน 100,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ไม่ตกลงและนัดให้นายวิวัฒน์ไปพบใหม่ตอนเวลา 21.30 นาฬิกา เพื่อให้นายวิวัฒน์นำเงินที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 150,000 บาท ไปวางแก่จำเลยที่ 1 และนัดรับเมทแอมเฟตามีนในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 29 ตุลาคม 2539 เวลา 12 นาฬิกา หรือวันเกิดเหตุซึ่งข้อนี้จำเลยที่ 2 ก็ได้ให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.10เป็นเชิงเจือสมกับคำให้การของนายวิวัฒน์พยานหลักฐานโจทก์ว่าประมาณวันที่ 21 ตุลาคม 2539 เวลาประมาณ 20 ถึง 21 นาฬิกาได้มีชายรูปร่างผอมสูงมาหาจำเลยที่ 2 ที่บ้านเพื่อนำเงิน 150,000 บาทมาให้จำเลยที่ 2 เสร็จแล้วจำเลยที่ 2 ได้นัดให้มารับเมทแอมเฟตามีนจำนวน 6,000 เม็ด ในวันที่ 29 ตุลาคม 2539 เวลา 12 นาฬิกา(วันเกิดเหตุ) จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าชายคนดังกล่าวน่าจะไม่ใช่เพื่อนของจำเลยที่ 2 เพราะจำเลยที่ 2 ไม่รู้จักชื่อจึงไม่ได้ระบุชื่อ อีกประการหนึ่งการที่ชายดังกล่าวนำเงินมามอบให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นจำนวนมากในเวลาวิกาลดึกดื่นและภายในบ้านของจำเลยที่ 1 เช่นนั้น รูปการณ์เชื่อว่าจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นบิดาน่าจะได้ล่วงรู้อยู่ด้วยหรือเรียกว่าน่าจะต้องอยู่ในความรู้เห็นของจำเลยที่ 1 ตลอดเวลา ประกอบกับจำเลยที่ 1 เคยเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 (บ้านปางหมอปวง) ในท้องที่เกิดเหตุมาก่อนนานประมาณ 6 ปีปกติย่อมจะต้องเป็นผู้มีไหวพริบดีหรือมีความเฉลียวฉลาด ดังนั้น เรื่องภายในบ้านของจำเลยที่ 1 ยิ่งจะต้องรู้ดีแต่ที่มิได้คิดห้ามปรามบุตรชายมิให้ประพฤติผิดกฎหมาย เนื่องจากจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจหรือร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 นั่นเอง พยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุผลและน้ำหนักให้เชื่อถือได้ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าพยานโจทก์ที่อาจมีข้อแตกต่างกันบ้างในเรื่องเงินที่ใช้ล่อซื้อนั้น ข้อแตกต่างดังกล่าวคงเป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดซึ่งไม่ทำให้น้ำหนักในการรับฟังพยานโจทก์ลดน้อยลงทั้งจำเลยที่ 2 ก็ได้ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.10ว่า จำเลยที่ 2 ได้รับเงินจำนวน 150,000 บาท ไว้แล้ว ข้อแตกต่างของพยานโจทก์หาใช่เป็นสาระสำคัญที่จะทำให้น้ำหนักในการรับฟังพยานหลักฐานโจทก์ลดน้อยลงไปจนไม่อาจรับฟังได้ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ส่วนพยานจำเลยที่ 1 แม้จะมีนางอุสาห์ ภิระบรรณ์และนายเปลี่ยน สุตาวงศ์มาเบิกความเป็นพยาน แต่นางอุสาห์เป็นภริยาของจำเลยที่ 1 และนายเปลี่ยนเป็นผู้ทำงานรับจ้างให้จำเลยที่ 1 ปกติย่อมต้องเบิกความเข้าข้างหรือเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 เป็นธรรมดา จึงมีน้ำหนักน้อยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์และเหตุผลแวดล้อมตามท้องสำนวนได้ พฤติการณ์เชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2ตามฟ้องฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก131.6 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ฎีกาส่วนนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้นแต่สำหรับเงินของกลางจำนวน 16,000 บาท ที่ยึดมาจากจำเลยที่ 1 นั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนหรือเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดในคดีนี้ แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวในฟ้อง จึงเป็นเรื่องของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องไปดำเนินการอีกชั้นหนึ่งตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 วรรคสาม”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสอง,66 วรรคสอง, 102 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 80การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15วรรคสอง, 66 วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต จำเลยที่ 2 กระทำผิดในขณะที่มีอายุ 19 ปีน่าจะยังมีความคิดที่อ่อนวัยอยู่หรืออาจสืบเนื่องมาจากการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นบิดาเป็นต้นเหตุ จึงสมควรให้ลดมาตราส่วนโทษแก่จำเลยที่ 2 ลงหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76ประกอบมาตรา 53 เป็นจำคุก 33 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพตลอดมา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้อีกกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 16 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share