แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในชั้นชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับว่าตนมีหน้าที่นำสืบก่อนตามประเด็นที่ศาลกะ ภายหลังยื่นคำแถลงโต้แย้งแต่เมื่อศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตตามที่ขอ ก็ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งไว้ และได้นำสืบก่อนตามที่ได้รับนำสืบไว้ และจนอีกฝ่ายหนึ่งนำสืบแก้เสร็จสิ้นแล้วดังนี้จะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งในเรื่องหน้าที่นำสืบอีกไม่ได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226,247
ย่อยาว
โจทก์จำเลยเป็นบุตรพระศิริผลและนางนุ่ม โจทก์ฟ้องว่าพระศิริผลตายโดยได้ทำพินัยกรรมลงวันที่ 26 สิงหาคม 2492 ยกทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น และว่าพินัยกรรมของพระศิริผลลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2494 ที่จำเลยมีไว้นั้น ไม่สมบูรณ์ขอให้โจทก์แต่ผู้เดียวเป็นผู้รับมรดก จำเลยต่อสู้ว่าพินัยกรรมฉบับที่จำเลยถือไว้เป็นพินัยกรรมที่ถูกต้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลกะประเด็น 3 ข้อซึ่งโจทก์รับว่าประเด็นทั้งสามข้อนั้นโจทก์มีหน้าที่สืบก่อน
ศาลชั้นต้นฟังว่า พินัยกรรมฉบับที่จำเลยถือเป็นเจตนากำหนดการเผื่อตายไว้เป็นครั้งสุดท้ายฉบับของโจทก์จึงต้องเพิกถอนไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1694 แม้คดีจะฟังได้ว่าโจทก์ได้ปกครองมรดกของมารดาร่วมมากับบิดาโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องขอแบ่งมรดกส่วนมารดา จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาเรื่องหน้าที่นำสืบว่าภาระการพิสูจน์ตกเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบก่อน แม้โจทก์รับนำสืบก่อนก็ดี แต่เมื่อโจทก์นำสืบและจำเลยนำสืบแล้วก็ชอบที่จะให้โจทก์นำสืบแก้ได้อีกครั้งหนึ่งนั้น ปรากฎว่าเมื่อโจทก์ยื่นคำแถลงในเรื่องนี้และศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตตามที่โจทก์ขอแล้วโจทก์หาได้โต้แย้งคำสั่งไว้อย่างใดไม่ โจทก์ได้นำสืบก่อนตามที่รับนำสืบไว้จนจำเลยนำสืบแก้เสร็จสิ้นไปแล้ว โจทก์จะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งในเรื่องหน้าที่นำสืบไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226, 247 อนึ่ง ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่างว่าพินัยกรรมฉบับที่จำเลยถือเป็นพินัยกรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษายืน