คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8182/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามเอกสารมีข้อความว่า ค่าเสียหายของรถยนต์บรรทุกกระบะ จำเลยยินยอมชดใช้ให้ทั้งสิ้นตามสภาพความเสียหายที่เป็นจริง ไม่มีรายละเอียดว่าจำเลยจะต้องชดใช้เงินตามความเสียหาย ที่เป็นจริงนั้น จำนวนเท่าใด และไม่ปรากฏวันเดือนปีที่ ถึงกำหนดชำระแก่กันเมื่อใด ชำระกันที่ไหนอย่างไร ข้อความ ตามเอกสารดังกล่าวยังไม่ชัดแจ้งพอที่จะถือว่าโจทก์ได้สิทธิ ตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตนแล้ว อันจะทำให้ ปราศจากการโต้แย้งกันอีก จึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์ยี่ห้อนิสสัน หมายเลขทะเบียน บ-0515 กำแพงเพชร เมื่อวันที่10 กันยายน 2535 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อพ่วงบรรทุกถ่านหินลิกไนต์เต็มคันรถไปตามถนนพหลโยธิน ด้วยความเร็วสูงและประมาทปราศจากความระมัดระวังจะแซงรถยนต์ของโจทก์ที่ขับไปตามปกติในทิศทางเดียวกันโดยประมาทเลินเล่อไม่ดูให้แน่ชัดก่อนว่ามีรถสวนทางมาจึงแซงไม่พ้น จำเลยที่ 1 หักรถยนต์บรรทุกกลับเข้ามาทำให้รถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 1 ขับชนท้ายรถยนต์ของโจทก์กระเด็นลงไปข้างทางได้รับความเสียหายโจทก์ได้รับบาดเจ็บ รถยนต์บรรทุกพลิกคว่ำลงข้างทาง โจทก์ต้องซ่อมแซมรถยนต์ของโจทก์เสียค่ารักษาพยาบาลและขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ในระหว่างซ่อมแซมเป็นเงิน 112,121.65 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 112,121.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน3,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 82,121.65 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงเรื่องค่าเสียหายของรถยนต์โดยจำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ให้ทั้งสิ้นตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.1 ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปแล้ว และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน แต่โจทก์กลับนำคดีที่ยุติแล้วมาฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในข้อหาละเมิดอีกเป็นการไม่ชอบแม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ให้การต่อสู้ในประเด็นนี้ไว้ศาลก็มีอำนาจยกข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นอ้างได้นั้น เห็นว่า ตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีข้อความว่า “ส่วนค่าเสียหายของรถยนต์บรรทุกกระบะ ยี่ห้อนิสสันหมายเลขทะเบียน บ-0515 กำแพงเพชร นายวิเศษ สุวรรณหงษ์ (จำเลยที่ 1) ยินยอมชดใช้ให้ทั้งสิ้นตามสภาพความเสียหายที่เป็นจริง”นั้น ไม่มีรายละเอียดว่าจำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้เงินตามความเสียหายที่เป็นจริงนั้น จำนวนเท่าใด และไม่ปรากฏวันเดือนปีที่ถึงกำหนดชำระแก่กันเมื่อใด ชำระกันที่ไหนอย่างไร ข้อความตามเอกสารดังกล่าวยังไม่ชัดแจ้งพอที่จะถือว่าโจทก์ได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตนแล้ว อันจะทำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีก จึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ยังคงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกจ้างในมูลละเมิดได้
พิพากษายืน

Share