แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า ได้นำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดิน 3 แปลงเพื่อขอรับโฉนดแต่จำเลยคัดค้านว่าเป็นที่สาธารณ ศาลให้ทำแผนที่วิวาทและพิพากษาว่าที่ดินตามแผนที่วิวาทเป็นของโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์มาฟ้องคดีนี้ใหม่ว่า โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินรายที่ชนะคดีจำเลยคัดค้านว่าโจทก์นำวัดรุกล้ำที่สาธารณไม่รับรองเขตให้เจ้าพนักงานจึงออกโฉนดให้โจทก์ไม่ได้ จึงขอให้จำเลยรับรองแนวเขตอย่าให้ขัดขวางในการที่โจทก์จะออกโฉนดดังนี้ เป็นกรณีที่น่าจะบังคับกันได้ในการบังคับคดีเรื่องก่อน จึงเป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 147/2501 โดยโจทก์ฟ้องจำเลยและจำเลยต่อสู้ว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ต่อมา พ.ศ. 2502 โจทก์ยื่นเรื่องราวขอรับโฉนด จำเลยคัดค้านว่าโจทก์นำรังวัดล้ำที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่รับรองแนวเขตให้จึงขอให้บังคับจำเลยรับรองเขตที่ดิน
จำเลยให้การว่า โจทก์ปักหมุดรุกล้ำเข้าไปในเขตถนน และตัดฟ้องว่าโจทก์ฟ้องซ้ำกับคดีก่อน โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 213 และโจทก์ไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59, 60 ทั้งไม่มีกฎหมายบังคับให้จำเลยต้องรับรองแนวเขตของโจทก์ แม้จำเลยไม่รับรอง เจ้าพนักงานก็ออกโฉนดให้โจทก์ตามที่เป็นจริงได้
ศาลชั้นต้นไปตรวจดูสภาพที่ดิน ได้วัดระยะจากหลักที่ 220686 ไปทางตะวันตกถึงต้นมะพร้าวได้ระยะทางยาว 5 วา กับ 2.40 เมตรทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันว่าจุดมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของที่ดินโจทก์อยู่ตรงไหน โจทก์ว่าอยู่ที่ต้นมะพร้าว จำเลยว่าอยู่ห่างหลักที่ 220686 ไปทางทิศตะวันตก 5 วา ทั้งสองฝ่ายขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงข้อเดียวว่า จุดเริ่มต้นของที่ดินโจทก์ทางมุมตะวันออกเฉียงเหนือตามแผนที่กลางในคดีแพ่งแดงที่ 147/2501 ซึ่งโจทก์ชนะความนั้น เริ่มต้นแต่ตรงไหน
ศาลชั้นต้นงดสืบพยาน และวินิจฉัยว่า จากหลักที่ 220686 ไป 5 วา ไม่มีต้นมะพร้าวต่อไปอีก 2.40 เมตร จึงมีต้นมะพร้าว เมื่อดูแผนที่กลางแล้วปรากฏว่า มุมที่ดินของโจทก์อยู่ห่างจากหลักที่ 220686 ไป 5 วา เป็นจุดเริ่มต้น ไม่ใช่ตรงต้นมะพร้าว ฉะนั้นที่จำเลยไม่ยอมรับรองแนวเขตจึงถูกแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ว่าเขตที่ดินโจทก์อยู่ตรงต้นมะพร้าว
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่า โจทก์วัดที่หรือปักหลักรุกล้ำเขตถนนเพียงใดหรือไม่ สมควรที่ศาลชั้นต้นจะได้ฟังพยานหลักฐานต่อไป จึงยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปความ
จำเลยฎีกาว่า คู่ความขอให้ศาลออกไปดูสภาพที่ดิน และขอให้ศาลวินิจฉัยข้อเดียวว่า จุดเริ่มต้นของที่ดินตามที่โจทก์ชนะความจำเลยนั้น อยู่ตรงไหน เท่ากับท้าเป็นประเด็นข้อแพ้ชนะกัน ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่หาชอบไม่และว่าจุดเริ่มต้นของที่ดินโจทก์อยู่ตรงที่วัดจากหลักที่ 220686 ไปทางตะวันตก 5 วา ตกจุดใดถือเป็นจุดเริ่มต้น กับตัดฟ้องว่าโจทก์ฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว ในประเด็นที่ว่า โจทก์ฟ้องซ้ำหรือไม่นั้นได้ความในคดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดิน 3 แปลงเพื่อขอรับโฉนด แต่จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านว่าเป็นที่สาธารณะ ไม่ใช่ที่ดินของจำเลยทั้งหมด ศาลได้ทำแผนที่วิวาทและพิพากษาว่าที่ดินตามแผนที่วิวาทเป็นของโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์ไปนำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินตามแผนที่ซึ่งตนชนะคดี จำเลยได้คัดค้านว่าโจทก์นำรังวัดเกินจากแผนที่ที่ตนชนะคดี จำเลยจึงไม่ยอมรับรองแนวเขต โจทก์ก็เถียงว่า นำรังวัดตามแผนที่ซึ่งตนเป็นผู้ชนะ เมื่อจำเลยไม่ยอมรับรองแนวเขต โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีใหม่ คือ คดีเรื่องนี้ ใจความในฟ้องก็คือว่าโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินรายที่ชนะคดี จำเลยคัดค้านว่าโจทก์นำวัดรุกล้ำที่สาธารณะจึงไม่รับรองเขตให้ เจ้าพนักงานจึงออกโฉนดให้โจทก์ไม่ได้จึงขอให้จำเลยรับรองแนวเขต อย่าให้ขัดขวางในการที่โจทก์จะออกโฉนด
ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นกรณีที่น่าจะบังคับกันได้ในการบังคับคดีเรื่องก่อน ประเด็นในคดีใหม่นี้ ก็พิจารณาตามแผนที่วิวาทซึ่งทำกันไว้ในคดีก่อน เพื่อให้รู้ว่าโจทก์นำรังวัดเกินเลยแผนที่วิวาทหรือไม่ เป็นการวินิจฉัยซ้ำกับประเด็นในคดีที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง