คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าเป็นที่ดินมรดก จำเลยเป็นทายาทครอบครองร่วมกันมากับโจทก์ ข้อที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยครอบครองมา เพราะเจ้ามรดกยกให้เป็นส่วนสัดตั้งแต่ก่อนเจ้ามรดกตายไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายทองรัก นางหอม โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1028 เนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 20 วา ตำบลบ้านเกาะอำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ครั้นเมื่อราว 3 เดือนมานี้ (ฟ้องวันที่ 3 กันยายน 2497) จำเลยทั้งสามกับบริวารได้บุกรุกเข้าไปตัดฟืนไม้ตะบูมและไม้เบญจพรรณในที่ดินดังกล่าวเป็นเนื้อที่ประมาณ 3 งาน การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงขอให้ศาลห้ามจำเลยกับบริวารไม่ให้เกี่ยวข้องในที่ดินรายนี้ต่อไป และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 1,200 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นของนายบาง นางจุ๊ นายบาง นางจุ๊ตายไป 30 ปีเศษแล้ว โดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ที่ดินแปลงนี้จึงตกเป็นมรดกแก่ทายาทของนายบาง นางจุ๊ และบรรดาทายาทได้ปกครองทำกินร่วมกันมา โดยเฉพาะนางคง ภรรยาจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทได้ปลูกฟืนทำกินในดินแปลงนี้ตลอดมา ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านประการใด ครั้นต่อมาเมื่อวันที่18 กรกฎาคม 2497 นายทองรักหาว่า จำเลยที่ 3 ตัดไม้ในที่ดินของนายทองรัก ได้นำเอาโฉนดของทั้งสองฝ่ายมาดูกัน จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงทราบว่านายทองรักไปขอโอนรับมรดกของนายบาง นางจุ๊เสียคนเดียวแล้วต่อมาได้ทำการโอนที่ดินแปลงนี้แก่นางหอมภรรยาไปเสียอีก อันเป็นการสมคบกันใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ซึ่งนางคง ภรรยาจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 กำลังจะดำเนินการฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนอยู่แล้ว โจทก์ก็ชิงมาฟ้องจำเลยเสียก่อน

จำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้ว่า ไม่เคยตัดไม้ในที่ดินของโจทก์เลย จำเลยตัดไม้ของจำเลยที่ปลูกไว้ในที่ดินของจำเลยเอง ตามโฉนดที่ 1026 ซึ่งมีโฉนดและเขตแน่นอนอยู่แล้ว

ต่อมานายทองรักตาย นายเหลือง หงษาชัย ผู้เป็นบุตรยื่นคำร้องขอรับมรดกความ ซึ่งศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว

ในชั้นพิจารณา โจทก์และจำเลยที่ 3 ตกลงยอมความกัน ศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 กับโจทก์ไปตามยอม คงพิพาทกันต่อไประหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 เท่านั้น ซึ่งในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กะประเด็นข้อที่จะนำสืบกันไว้ว่า

1. จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ปกครองที่ดินภายในเขตเส้นสีแดงตามแผนที่กลางร่วมกันมากับโจทก์นับตั้งแต่นายบาง นางจุ๊ตาย ในฐานะเป็นทายาทร่วมกันจริงหรือไม่

2. ต่อมาโจทก์ได้ไปขอโอนรับมรดกที่ดินดังกล่าวเสียแต่ผู้เดียวโดยไม่สุจริตจริงหรือไม่

3. ถ้าหากฟังว่า จำเลยยังมีสิทธิในที่ดินแปลงนี้อยู่ จำเลยได้ตัดฟืนเฉพาะในเขตที่จำเลยปลูกไว้จริงหรือไม่

ประเด็นดังกล่าว ให้จำเลยนำสืบก่อน แต่เมื่อสืบตัวจำเลยที่ 1 ที่ 2 แล้ว ศาลชั้นต้นได้สอบจำเลยถึงข้อเท็จจริงที่จะนำสืบต่อไปจำเลยแถลงว่า พยานที่จะสืบต่อไปจะสืบในข้อความอย่างเดียวกับที่จำเลยได้ให้การมาแล้ว กับจะสืบในข้อที่ว่าไม่มีผู้ใดเคยเห็นประกาศของนายทองรักขอรับมรดกติดอยู่ในที่พิพาทเลยเท่านั้น ไม่มีพยานสืบในประเด็นข้ออื่นอีก ซึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอชี้ขาดได้แล้วจึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยเสีย แล้ววินิจฉัยว่าในประเด็นข้อแรกที่ว่า จำเลยได้ปกครองร่วมกับโจทก์มาในฐานะทายาทนั้น จำเลยหาได้นำสืบพยานตามข้อต่อสู้ไม่ กลับนำสืบไปว่า จำเลยได้ปกครองต่อ ๆ มาจากบิดา มารดาซึ่งได้รับยกให้จากเจ้ามรดกเป็นส่วนสัดแล้ว ก่อนนายบาง นางจุ๊เจ้ามรดกตาย จึงเป็นการนำสืบนอกเหนือไปจากประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลย จะรับฟังหาได้ไม่ เพราะตามคำให้การของจำเลยกล่าวอ้างเพียงว่า จำเลยปกครองร่วมกับโจทก์ในฐานะทายาท อันแสดงว่าที่ดินแปลงนี้ยังมิได้แบ่งเป็นของจำเลยโดยเด็ดขาดแม้แต่ตอนใดตอนหนึ่งเลย แต่จำเลยกลับนำสืบว่าเป็นของจำเลยโดยเด็ดขาดแล้วโดยเจ้ามรดกยกให้ เป็นการกล่าวอ้างคนละเหตุคนละประเด็นทีเดียวส่วนประเด็นข้อต่อไปที่จำเลยอ้างว่าโจทก์แอบไปรับโอนมรดกเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตนั้น นอกจากจะตกไปเพราะเหตุจำเลยไม่อ้างสิทธิใด ๆ ได้ดังที่วินิจฉัยไว้ในประเด็นข้อแรกแล้ว เพียงแต่จำเลยมีหลักฐานมาแสดงว่าไม่มีผู้ใดเคยเห็นประกาศขอรับมรดกของนายทองรักไปปิดในที่พิพาทอย่างเดียวเท่านั้น หาเพียงพอที่จะถือว่าโจทก์ไม่สุจริตได้ไม่ โจทก์อาจนำประกาศไปปิดไว้แล้ว หากแต่จำเลยไม่สนใจดูก็เป็นได้ ในประเด็นข้อนี้จำเลยก็นำสืบไม่สมเช่นเดียวกับประเด็นข้อแรก จึงต้องฟังว่า จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิประการใดในที่ดินแปลงนี้ เมื่อฟังว่า จำเลยไม่มีสิทธิในที่พิพาทแล้ว การที่จำเลยเข้าไปปลูกฟืนก็ดี ตัดฟืนเฉพาะที่จำเลยปลูกไว้ก็ดี จำเลยหามีสิทธิที่จะทำดังนั้นไม่ การที่จำเลยตัดฟืนจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ จำเลยมิได้โต้แย้งในเรื่องค่าเสียหาย และปรากฏตามคำจำเลยที่ 2 ว่า ฟืนที่จำเลยตัดคิดเป็นราคา 500 บาท พิเคราะห์ดูแผนที่กลางแล้ว ที่ที่จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปมีจำนวนไร่เรี่ยกัน รวมแล้วคงได้ฟืนราคาใกล้เคียงกับที่โจทก์กล่าวมาในฟ้อง จึงพิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินโฉนดที่ 1028 ตำบลบ้านเกาะอีกต่อไป และให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 1,200 บาท ให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าธรรมเนียมและค่าทนาย 150 บาท แทนโจทก์ด้วย

จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้จำเลยจะนำสืบไม่ตรงกับข้อความที่ศาลชั้นต้นกะประเด็นเอาไว้ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยนำสืบแสดงถึงมูลเหตุที่เป็นมาแห่งการเข้าครอบครองของฝ่ายจำเลย ซึ่งอยู่ในบรรดาทายาทของนายบาง นางจุ๊ว่าเป็นมาอย่างไร จึงหาเป็นการนอกประเด็นไม่ เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุก จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่าที่ดินทั้งแปลงเป็นมรดกของนายบาง นางจุ๊ และบรรดาทายาทได้ปกครองทำกินร่วมกันมา ดังนี้ ข้อสำคัญของประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันอยู่ ที่ว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินรายนี้มาจริงหรือไม่ ฉะนั้น การที่จำเลยนำสืบว่า นายบาง นางจุ๊ได้ยกที่พิพาทอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินรายนี้ให้แก่นางเกิดกับนายยนและคนทั้งสองได้ครอบครองเป็นส่วนสัดมาก่อนที่นายบาง นางจุ๊ตายไปแล้ว จะถือว่าเป็นการนำสืบนอกเหนือไปจากประเด็นยังไม่ได้ เพราะการที่ฝ่ายจำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทก่อนหรือภายหลังจากนายบางนางจุ๊ตายนั้นไม่ใช่ข้อสำคัญเสียแล้ว ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า ถ้าคดีฟังได้ว่า ฝ่ายจำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทมาจริงตามที่จำเลยนำสืบ โจทก์ก็ฟ้องขอให้ขับไล่หรือห้ามจำเลยไม่ได้ ตลอดจนประเด็นในข้อที่จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต และในเรื่องค่าเสียหาย ศาลอุทธรณ์ก็เห็นว่าควรฟังคำพยานของทั้งสองฝ่ายต่อไปจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสืบพยานของทั้งสองฝ่ายต่อไปให้สิ้นกระแสความ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ผู้แพ้คดีในที่สุดเป็นผู้เสีย

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า แม้จำเลยจะนำสืบไม่ตรงตามข้อต่อสู้ของจำเลยก็ดี ก็หาควรที่ศาลจะด่วนตัดพยานวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้ไม่ การที่จำเลยนำสืบพยานไม่ตรงตามข้อต่อสู้นั้น เป็นเพียงเหตุผลประกอบการวินิจฉัยในการเชื่อฟังข้อต่อสู้ของจำเลยหรือไม่ นอกจากนั้นก็ยังมีประเด็นในข้อที่จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต และในเรื่องค่าเสียหายตามที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ ซึ่งควรฟังคำพยานของทั้งสองฝ่ายต่อไป

ด้วยเหตุนี้ จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาโจทก์เสีย ค่าทนาย 50 บาท ชั้นฎีกานี้ให้ผู้แพ้คดีในที่สุดเป็นผู้เสีย

Share