แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ใช้ถ้อยคำว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความด้วย แต่ก็ให้การต่อสู้โดยอ้างถึงบทบัญญัติของมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 และข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับวันที่รัฐมนตรีฯ ได้รับคำอุทธรณ์ของโจทก์และต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีเสียภายในหนึ่งปีนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดหกสิบวันตามกฎหมายดังกล่าว อันเป็นคำให้การที่ยกข้อต่อสู้ในเรื่องโจทก์ฟ้องคดีเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ที่จำเลยที่ 1 ใช้ถ้อยคำว่า คดีของโจทก์จึงขาดอายุความแล้วนั้นเป็นเพียงการใช้ถ้อยคำที่ผิดพลาดไปเท่านั้น ไม่ถึงกับทำให้คำให้การของจำเลยที่ 1 ไม่มีประเด็นเรื่องโจทก์ฟ้องคดีเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการวินิจฉัยไปตามประเด็นแห่งคดีแล้ว มิได้วินิจฉัยนอกประเด็นหรือนอกประเด็นข้อต่อสู้
พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง ได้วางหลักเกณฑ์ในการดำเนินคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจจำนวนเงินค่าทดแทนไว้เป็น 2 กรณี กรณีแรก รัฐมนตรีได้วินิจฉัยเสร็จสิ้นภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่ได้รับคำอุทธรณ์ตามมาตรา 25 วรรคสอง ซึ่งผู้อุทธรณ์มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรี ส่วนในกรณีที่สอง เมื่อรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคสอง กำหนดเวลาฟ้องคดีภายในหนึ่งปีจะเริ่มนับแต่วันพ้นหกสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีได้รับคำอุทธรณ์ไม่ได้นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีอย่างกรณีแรก กรณีที่สองนี้หากเริ่มนับกำหนดเวลาฟ้องคดีนับแต่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีแล้ววันเริ่มต้นนับกำหนดเวลาฟ้องคดีก็จะเหลือเพียงกรณีเดียว และจะเป็นเหตุให้กำหนดเวลาฟ้องคดีต่อศาลทอดยาวนานออกไปตามแต่เวลาที่รัฐมนตรีจะใช้วินิจฉัยอุทธรณ์โดยไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ซึ่งไม่สอดคล้องกับถ้อยคำของมาตรา 25 วรรคสอง และมาตรา 26 วรรคหนึ่ง ทั้งขัดกับเหตุผลและเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ที่ประสงค์ให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เป็นไปโดยรวดเร็ว
กำหนดเวลาฟ้องคดีต่อศาลตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง เป็นกำหนดเวลาใช้สิทธิฟ้องคดี มิใช่อายุความอันเป็นเหตุให้กำหนดเวลาการใช้สิทธิฟ้องคดีสะดุดหยุดลงและเริ่มต้นนับใหม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 460,933,225 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 400,811,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 โต้แย้งสิทธิของโจทก์ จึงไม่รับฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 1 รับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า ศาลมีอำนาจวินิจฉัยในประเด็นว่า โจทก์ฟ้องคดีเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ ไม่ได้ต่อสู้ว่าโจทก์สิ้นสิทธิที่จะฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนเพิ่มจากจำเลยที่ 1 ศาลย่อมไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ฟ้องเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นและนอกข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 เห็นว่า แม้ตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ใช้ถ้อยคำว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความด้วย แต่ก็ให้การต่อสู้โดยอ้างถึงบทบัญญัติของมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 และข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับวันที่รัฐมนตรีฯได้รับคำอุทธรณ์ของโจทก์ และต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีเสียภายในหนึ่งปีนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดหกสิบวันตามกฎหมายดังกล่าว อันเป็นคำให้การที่ยกข้อต่อสู้ในเรื่องโจทก์ฟ้องคดีเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ที่จำเลยที่ 1 ใช้ถ้อยคำว่า คดีของโจทก์จึงขาดอายุความแล้วนั้นเป็นเพียงการใช้ถ้อยคำที่ผิดพลาดไปเท่านั้น ไม่ถึงกับทำให้คำให้การของจำเลยที่ 1 ไม่มีประเด็นเรื่องโจทก์ฟ้องคดีเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยไปตามประเด็นแห่งคดีแล้ว มิได้นอกประเด็นหรือนอกข้อต่อสู้ดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า โจทก์ฟ้องคดีเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จากบทบัญญัติของมาตรา 25 วรรคสอง และมาตรา 26 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 กำหนดให้สิทธิแก่เจ้าของที่ดินที่จะฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนเพิ่มเติมไว้ 2 กรณี คือกรณีแรกให้ฟ้องภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่เสร็จภายในกำหนดหกสิบวัน และกรณีที่สองให้ฟ้องภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรี สำหรับคดีของโจทก์เมื่อรัฐมนตรีได้รับคำอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว ได้มีการแจ้งเป็นหนังสือมายังโจทก์ว่าได้รับคำอุทธรณ์ของโจทก์แล้วและจะได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป ดังนั้นโจทก์จึงต้องรอคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีเสียก่อน ซึ่งต่อมารัฐมนตรีก็ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์โดยเพิ่มเงินค่าทดแทนให้โจทก์ตามหนังสือโจทก์จึงมีสิทธิจะฟ้องร้องได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีซึ่งโจทก์ได้ฟ้องคดีนี้ไม่เกินกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่รัฐมนตรีแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทราบชอบด้วยมาตรา 25 และมาตรา 26 แล้ว อีกทั้งเมื่อรัฐมนตรีได้วินิจฉัยเพิ่มเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนเพิ่มจากจำเลยจึงเป็นการที่จำเลยได้ชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์ มีผลให้อายคุวามหรือสิทธิที่โจทก์จะฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนจากจำเลยสะดุดหยุดลง และเมื่อนับแต่วันที่โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนเพิ่มจนถึงวันฟ้องยังไม่เกินหนึ่งปี โจทก์จึงมีสิทธิที่จะฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามบทบัญญัติมาตรา 193/14 และมาตรา 193/15 แห่ง ป.พ.พ. ปัญหานี้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 25 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในการพิจารณาอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง
ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์” และมาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจในคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 หรือในกรณีที่รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคสอง ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีหรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าว แล้วแต่กรณี” และเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้เพื่อให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เป็นไปได้โดยรวดเร็ว เห็นว่า มาตรา 26 วรรคหนึ่ง เป็นบทบัญญัติที่ต่อเนื่องมาจากมาตรา 25 วรรคสอง ทั้งมาตรา 25 วรรคหนึ่ง เป็นเรื่องกำหนดระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีเพียงอย่างเดียว มิได้กล่าวถึงเรื่องการวินิจฉัยของรัฐมนตรี ส่วนเรื่องการวินิจฉัยของรัฐมนตรีมีการกล่าวไว้ในมาตรา 25 วรรคสอง ดังนั้นถ้อยคำของมาตรา 26 วรรคหนึ่งที่ว่า คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 จึงหมายถึงคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีที่วินิจฉัยภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคสอง คือ คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีที่วินิจฉัยอุทธรณ์เสร็จสิ้นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง ได้วางหลักเกณฑ์ในการนำคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจจำนวนเงินค่าทดแทนไว้เป็น 2 กรณี กรณีแรก รัฐมนตรีได้วินิจฉัยอุทธรณ์เสร็จสิ้นภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์ กรณีที่สองรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์ ในตอนท้ายของวรรคนี้ได้กำหนดวันเริ่มต้นนับกำหนดเวลาใช้สิทธิฟ้องคดีในแต่ละกรณีต่างกันแล้วแต่กรณี กรณีแรกรัฐมนตรีได้แจ้งคำวินิจฉัยให้ทราบภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคสอง ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรี ส่วนในกรณีที่สองรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคสอง กำหนดเวลาฟ้องคดีภายในหนึ่งปีจะเริ่มนับแต่วันที่พ้นหกสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีได้รับคำอุทธรณ์ หากตีความตามที่โจทก์ฎีกาว่ากำหนดเวลาฟ้องคดีหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีแม้รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคสองด้วย วันเริ่มต้นนับกำหนดเวลาฟ้องคดีก็จะเหลือเพียงกรณีเดียว และจะเป็นเหตุให้กำหนดเวลาฟ้องคดีต่อศาลทอดยาวนานออกไปตามแต่เวลาที่รัฐมนตรีจะใช้วินิจฉัยอุทธรณ์โดยไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ซึ่งไม่สอดคล้องกับถ้อยคำของมาตรา 25 วรรคสอง และมาตรา 26 วรรคหนึ่ง ทั้งขัดกับเหตุผลและเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ที่ประสงค์ให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เป็นไปโดยรวดเร็ว กรณีของโจทก์เป็นกรณีที่รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่ได้รับคำอุทธรณ์ กำหนดเวลาฟ้องคดีภายในหนึ่งปีจึงเริ่มนับแต่วันที่พ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีได้รับคำอุทธรณ์ คดีได้ความว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้รับคำอุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวกับที่ดิน 10 แปลงในเขตจังหวัดสมุทรปราการเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2537 ครบกำหนดหกสิบวันในวันที่ 3 พฤษภาคม 2537 โจทก์ต้องฟ้องคดีภายในกำหนดหนึ่งปี คือภายในวันที่ 3 พฤษภาคม 2538 ส่วนคำอุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวกับที่ดินอีก 3 แปลง ที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้รับคำอุทธรณ์เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 ครบกำหนดหกสิบวันในวันที่ 16 กรกฎาคม 2537 โจทก์ต้องฟ้องคดีภายในกำหนดหนึ่งปี คือ ภายในวันที่ 16 กรกฎาคม 2538 ปรากฏว่าโจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินทั้ง 13 แปลง รวมกันเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2539 พ้นกำหนดเวลาตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มต่อศาลได้ ทั้งกำหนดเวลาฟ้องคดีต่อศาลตามมาตรา 26 วรรคหนึ่งนี้ เป็นกำหนดเวลาใช้สิทธิฟ้องคดีมิใช่อายุความ อันจะเป็นเหตุให้กำหนดเวลาการใช้สิทธิฟ้องคดีสะดุดหยุดลงและเริ่มต้นนับใหม่ได้ดังที่โจทก์ฎีกา จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับเงินค่าทดแทนที่ดินอีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ.