คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8174/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้ตายถือไม้ยาวประมาณ 2 ช่วงแขน ซึ่งสามารถใช้เป็นอาวุธวิ่งไล่ตามเพื่อจะตีทำร้ายจำเลย หลังจากนั้นใช้ไม้นั้นตีจำเลยมาแล้ว 1 ครั้ง เช่นนี้นับเป็นการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงอาจกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายนั้นได้ หากการกระทำนั้นพอสมควรแก่เหตุ แต่ผู้ตายและจำเลยต่างเป็นชายวัยไล่เลี่ยกัน ผู้ตายวิ่งไล่ตามจำเลยไปเพียงคนเดียวโดยมีไม้เป็นอาวุธ และจากการตรวจศพผู้ตายพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 171 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าผู้ตายมีอาการเมาสุราน่าจะควบคุมพละกำลังได้ยาก ทั้งเหตุเกิดในย่านชุมชน ในเวลาที่ยังมีผู้คนอยู่ในบริเวณนั้น ดังนี้ จำเลยย่อมมีโอกาสขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้ แต่จำเลยกลับใช้อาวุธมีดซึ่งมีความยาวรวมด้ามถึงประมาณ 10 นิ้ว แทงผู้ตาย สภาพศพผู้ตายมีบาดแผลถูกแทง 3 แห่ง ที่บริเวณหัวนมด้านขวา ปีกรักแร้หน้าด้านซ้าย ปลายแขนซ้ายด้านในทะลุปลายแขนซ้ายด้านนอก แสดงว่าจำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายมากกว่า 1 ครั้ง หาใช่เพียงแค่กวัดแกว่งเพื่อป้องกันตนให้พ้นภัย หรือเพื่อให้ผู้ตายหลบหนีไป หรือเพื่อให้ผู้ตายหยุดใช้ไม้ตีทำร้ายตน เช่นนี้ย่อมเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ และเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตาม ป.อ. มาตรา 69

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 288, 371 และริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกันและรับสารภาพในความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 454,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยไม่ยื่นคำให้การในส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ปรับ 100 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 50 บาท ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ริบอาวุธมีดและซองใส่อาวุธมีดของกลาง ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และคดีส่วนแพ่งให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยรองอัยการสูงสุดรักษาราชการแทนอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า นายมาโนชพยานโจทก์เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุเห็นผู้ตายถือไม้ไผ่ยาวประมาณ 2 ช่วงแขน วิ่งไล่ตีจำเลยเข้าไปในซอยที่เกิดเหตุ สอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่า ผู้ตายใช้ไม้ยูคาลิปตัสตีจำเลย 1 ครั้ง เมื่อจำเลยวิ่งหนีผู้ตายก็ถือไม้ดังกล่าววิ่งไล่ตามจำเลยมา แม้ลักษณะไม้ที่นายมาโนชและจำเลยเบิกความถึงจะแตกต่างกันโดยนายมาโนชว่าเป็นไม้ไผ่แต่จำเลยว่าเป็นไม้ยูคาลิปตัสดังที่โจทก์อ้างในฎีกา แต่ก็ไม่ถือเป็นสาระสำคัญเพราะเป็นการเบิกความไปตามความรู้เห็นและความเข้าใจของพยาน ส่วนสาระสำคัญที่ว่าผู้ตายถือไม้ที่มีขนาดยาวพอสมควรวิ่งไล่ตามจำเลยเข้าไปในซอยที่เกิดเหตุนั้นนายมาโนชกับจำเลยเบิกความตรงกัน นายมาโนชรู้จักผู้ตายมาก่อนแต่ไม่รู้จักจำเลย ทั้งภายหลังเกิดเหตุนายมาโนชเป็นผู้เข้าช่วยเหลือผู้ตายจึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่านายมาโนชจะเบิกความเข้าข้างเพื่อช่วยเหลือจำเลยแต่อย่างใด การที่ผู้ตายถือไม้ซึ่งสามารถใช้เป็นอาวุธวิ่งไล่ตามเพื่อจะตีทำร้ายจำเลย หลังจากใช้ไม้นั้นตีจำเลยมาแล้ว 1 ครั้ง เช่นนี้นับเป็นการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงอาจกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิตนให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายนั้นได้ หากการกระทำนั้นพอสมควรแก่เหตุ ซึ่งแม้โจทก์จะไม่มีพยานที่รู้เห็นพฤติการณ์หลังจากทั้งผู้ตายและจำเลยวิ่งเข้าไปในซอยที่เกิดเหตุแล้ว โดยมีเพียงนายมาโนชที่เบิกความว่า เมื่อวิ่งเข้าไปดูเหตุการณ์หลังได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของผู้ตายก็พบว่าผู้ตายนอนอยู่กับพื้นโดยจำเลยยืนอยู่บริเวณศีรษะของผู้ตาย ขณะนั้นผู้ตายมีเลือดพุ่งออกมาบริเวณหน้าอกซ้าย แต่เมื่อพิจารณาว่าผู้ตายและจำเลยต่างเป็นชายวัยไล่เลี่ยกันผู้ตายวิ่งไล่ตามจำเลยไปเพียงคนเดียวโดยมีไม้เป็นอาวุธ ทั้งปรากฏจากรายงานการตรวจศพว่า ผู้ตายมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 171 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ในสภาพเช่นนี้เชื่อว่าผู้ตายมีอาการมึนเมาสุราซึ่งน่าจะทำให้ควบคุมพละกำลังได้ยาก ทั้งเหตุเกิดในย่านชุมชน ในเวลาที่ยังมีผู้คนอยู่ในบริเวณนั้น ดังจะเห็นได้จากมีนายมาโนชกับพวกประมาณ 10 คน นั่งดื่มสุรากันอยู่ ดังนี้จำเลยย่อมมีโอกาสขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้แต่จำเลยกลับใช้อาวุธมีดซึ่งมีความยาวรวมด้ามถึงประมาณ 10 นิ้ว แทงผู้ตาย ซึ่งตามรายงานการตรวจศพปรากฏว่า ผู้ตายมีบาดแผลถูกแทง 3 แห่ง คือที่บริเวณหัวนมด้านขวา บริเวณปีกรักแร้หน้าด้านซ้าย และบริเวณปลายแขนซ้ายด้านในทะลุปลายแขนซ้ายด้านนอก แสดงว่า จำเลยใช้อาวุธมีดนั้นแทงผู้ตายมากกว่า 1 ครั้ง หาใช่เพียงกวัดแกว่งเพื่อป้องกันตนให้พ้นภัย หรือเพื่อให้ผู้ตายหลบหนีไป หรือเพื่อให้ผู้ตายหยุดใช้ไม้ตีทำร้ายตน เช่นนี้ย่อมเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ และเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ซึ่งศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำไปเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน และเมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว เนื่องจากคู่ความได้สืบพยานในส่วนแพ่งที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเรียกค่าสินไหมทดแทนมาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยในส่วนแพ่งดังกล่าวไปเสียทีเดียว เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 อันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนั้น จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นมารดาของผู้ตาย ส่วนจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ร้องติดใจเรียกร้อง 30,000 บาท นั้น เห็นว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 69 จำคุก 2 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วเป็น จำคุก 2 ปี และปรับ 50 บาท ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 30,000 บาท แก่ผู้ร้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share