แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีแพ่งคู่ความไม่จำเป็นต้องยกบทกฎหมายขึ้นมากล่าวอ้างในคำฟ้องหรือคำให้การ เพียงแต่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงก็พอแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายขึ้นมาปรับแก่คดีตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความได้ คดีนี้โจทก์กล่าวไว้ในคำฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินที่ น. จัดสรร เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องและฟังได้ว่า ที่ดินพิพาท น. ซื้อมาเพื่อทำเป็นทางให้ผู้ซื้อที่ดินจากการจัดสรรใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ การที่ศาลล่างทั้งสองยกเอาบทกฎหมายคือ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 มาปรับกับข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความแล้ววินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๐๐๕ โจทก์ที่ ๒ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๙๙๔ และ ๓๒๙๙๕ จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๕๕๐๓ แต่เดิม น. บิดาจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดสรรที่ดินขายให้คนทั่วไปได้ยินยอมให้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๑๗๕ เป็นทางภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๙๙๔ และ ๓๒๙๙๕ เพื่อจุดประสงค์ให้ผู้ซื้อที่ดินใช้เป็นทางเข้าออกไปสู่ถนนสาธารณะไปเชื่อมต่อกับทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๕๕๐๓ เมื่อปี ๒๕๓๔ จำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๕๕๐๓ จำเลยรู้อยู่แล้วว่ามีทางภาระจำยอมอยู่ในที่ดินโฉนดดังกล่าว โจทก์ทั้งสองได้รับโอนกรรมสิทธิ์และใช้ทางเดินดังกล่าวต่อมาจากเจ้าของเดิมที่ซื้อที่ดินจัดสรรของบิดาจำเลยเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ต่อมาจำเลยได้สร้างด่านเก็บเงิน ณ จุดผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิ ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยนำเอาทางภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๕๕๐๓ ไปจดทะเบียนภาระจำยอมเรื่องทางเดินต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา และให้จำเลยรื้อถอนด่านเก็บเงินที่กีดขวางทางเดินภาระจำยอมดังกล่าว
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๕๕๐๓ ไม่ได้เป็นทางภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๐๐๕ ของโจทก์ที่ ๑ และที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๙๙๔ และ ๓๒๙๙๕ ของโจทก์ที่ ๒ และที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๑๗๕ แต่อย่างใด โจทก์ทั้งสองจึงไม่ได้สิทธิเกี่ยวกับทางภาระจำยอม จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยไปจดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอมและรื้อถอนด่านเก็บเงิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๕๕๐๓ ตกเป็นทางภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๐๐๕, ๓๒๙๙๔ และ ๓๒๙๙๕ ให้จำเลยรื้อถอนด่านเก็บเงินที่กีดขวางทางภาระจำยอม ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๐๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๑,๕๐๐ บาท แทนโจทก์ทั้งสอง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าได้ภาระจำยอมโดยการใช้ทางเดิน ๑๐ ปี ไม่ได้บรรยายหรือกล่าวอ้างเกี่ยวกับประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๘๖ และไม่ได้นำสืบในประเด็นนี้ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๓ หยิบยกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัย จึงเป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ทั้งสอง ขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ นั้น โจทก์ทั้งสองกล่าวในฟ้องว่าซื้อที่ดินที่ น. บิดาจำเลยจัดสรรขาย โจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางพิพาทต่อจากเจ้าของเดิมรวมระยะเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นทางภาระจำยอมของที่ดินของโจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใด ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีแพ่ง คู่ความหาจำเป็นต้องยกบทกฎหมายขึ้นมากล่าวอ้างในคำฟ้องหรือคำให้การไม่ เพียงแต่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงก็พอแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายขึ้นมาปรับแก่คดีตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความได้ ในเมื่อคดีนี้โจทก์ทั้งสองกล่าวไว้ในคำฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินที่ น. จัดสรร เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่โจทก์ทั้งสองกล่าวไว้ในคำฟ้องและฟังได้ว่าที่ดินพิพาท น. ซื้อมาเพื่อทำเป็นทางให้ผู้ซื้อที่ดินจากการจัดสรรใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองยกเอาบทกฎหมายคือ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๖ มาปรับกับข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความแล้ววินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑,๕๐๐ บาท แทนโจทก์ทั้งสอง.