แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3)จำเลยโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงนำยึดที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่ตนเองอ้างว่าเป็นที่ดินของ พ. ลูกหนี้จำเลยโดยไม่ได้ตรวจสอบว่าที่ดินดังกล่าวมีหนังสือสำคัญแล้วหรือไม่และเป็นที่ดินของลูกหนี้ของตนหรือไม่เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยให้การเพียงว่าขณะที่จำเลยนำยึดที่ดินพิพาทมีเพียงใบภ.บ.ท.5ไม่มีหลักฐานเอกสารสิทธิอย่างอื่นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เป็นเอกสารปลอมจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยยึดที่ดินพิพาทโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นการยึดและขายทรัพย์สินโดยมิชอบหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยยึดที่พิพาทโดยสุจริตหรือไม่จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคหนึ่งประกอบด้วยมาตรา183วรรคสองอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามมาตรา142(5)ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาไปตามประเด็นที่ถูกต้องได้ โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยจดทะเบียนรับโอนด้วยการซื้อจาก พ. ได้รับความเสียหายอันเกิดจากการยึดและขายทรัพย์สินของจำเลยผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ พ. โดยมิชอบจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้เป็นบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา284วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ว่า โจทก์ เป็น เจ้าของ สิทธิ ครอบครอง ที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 95 เมื่อ เดือน กุมภาพันธ์2530 จำเลย ซึ่ง เป็น โจทก์ ใน คดีแพ่ง หมายเลขแดง ที่ 338/2529ของ ศาลชั้นต้น ระหว่าง นาง วัชรี วงษ์สาคร โจทก์ นาง พันธ์ ชมพูวิเศษ จำเลย ได้ ทำการ โดยประมาท เลินเล่อ อย่างร้ายแรง นำยึด ที่ดิน ดังกล่าว ของ โจทก์ ทั้ง แปลง ออก ขายทอดตลาด นำ เงิน มา ชำระหนี้แก่ ตนเอง โดย อ้างว่า เป็น ที่ดิน ของ นาง พันธ์ โดย จำเลย ไม่ได้ ตรวจสอบ ให้ ละเอียด ถี่ถ้วน ว่า ที่ดิน ดังกล่าว เป็น ที่ดิน มี หนังสือสำคัญแล้ว หรือไม่ และ เป็น ที่ดิน ของ นาง พันธ์ ลูกหนี้ ตาม คำพิพากษา ของ ตน หรือไม่ หาก จำเลย ใช้ ความระมัดระวัง แล้ว ก็ จะ ทราบ ว่า ที่ดินดังกล่าว มี หนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้ว และ เป็น ของ โจทก์ มิใช่ ของนาง พันธ์ ทำให้ เจ้าพนักงาน บังคับคดี หลงเชื่อ ทำการ ยึด และ ขายทอดตลาด ที่ดิน ของ โจทก์ ไป โดย จำเลย เป็น ผู้ซื้อ ได้ เป็นเหตุ ให้ โจทก์ ได้รับความเสียหาย เป็น เงิน 111,000 บาท ขอให้ บังคับ จำเลย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แก่ โจทก์ เป็น เงิน 111,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ย อัตราร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี นับแต่ วันฟ้อง
จำเลย ให้การ ว่า ที่ดิน ที่ จำเลย นำยึด เป็น ของ นาง พันธ์ ชมพูวิเศษ มี ใบ ภ.บ.ท. 5 เป็น หลักฐาน ซึ่ง นาง พันธ์ ได้ มอบ ให้ จำเลย ยึดถือ เป็น ประกันหนี้ เงินกู้ จำเลย เป็น ผู้ซื้อ ที่ดินพิพาทได้ จาก การ ขายทอดตลาด ของ ศาล และ ได้ ครอบครอง ทำประโยชน์ เกิน 1 ปีแล้ว โดย โจทก์ ไม่ได้ โต้แย้ง คัดค้าน คดี โจทก์ ขาดอายุความ ขณะที่ ยึดที่ดิน มี เพียง ใบ ภ.บ.ท. 5 ไม่มี หลักฐาน เป็น โฉนด หรือ เอกสารสิทธิอย่างอื่น หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ของ โจทก์ เป็น เอกสารปลอมขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ จำเลย ใช้ ค่าเสียหาย 111,000บาท พร้อม ดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี ของ เงิน ดังกล่าวนับ ตั้งแต่ วันฟ้อง จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ แก่ โจทก์
จำเลย ฎีกา โดย ผู้พิพากษา ที่ ได้ นั่งพิจารณา คดี ใน ศาลชั้นต้นได้รับ รอง ให้ ฎีกา ใน ข้อเท็จจริง
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ศาลชั้นต้น กำหนด ประเด็น ข้อพิพาทใน ชั้น ชี้สองสถาน ว่า จำเลย ยึด ที่ดินพิพาท โดยสุจริต หรือไม่ ใน ข้อ นี้โจทก์ ฟ้อง ว่า โจทก์ เป็น ผู้มีสิทธิ ครอบครอง ที่ดินพิพาท ตาม หนังสือรับรอง การ ทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 95 ตำบล หนองคล้า กิ่งอำเภอ ไทรงาม จังหวัด กำแพงเพชร จำเลย โดยประมาท เลินเล่อ อย่างร้ายแรง นำยึด ที่ดิน ดังกล่าว ขายทอดตลาด นำ เงิน มา ชำระหนี้แก่ ตนเอง อ้างว่า เป็น ที่ดิน ของ นาง พันธ์ สมภูวิเศษหรือชมพูวิเศษ โดย จำเลย ไม่ได้ ตรวจสอบ ว่า ที่ดิน ดังกล่าว มี หนังสือสำคัญ แล้ว หรือไม่และ เป็น ที่ดิน ของ นาง พันธ์ ลูกหนี้ ตาม คำพิพากษา ของ ตน หรือไม่ เป็นเหตุ ให้ โจทก์ ได้รับ ความเสียหาย จำเลย ให้การ เกี่ยวกับ เรื่อง นี้เพียง ว่า ขณะที่ จำเลย นำยึด ที่ดินพิพาท มี เพียง ใบ ภ.บ.ท. 5 ไม่มีหลักฐาน เป็น โฉนด หรือ เอกสารสิทธิ อย่างอื่น หนังสือ รับรอง การ ทำประโยชน์ ของ โจทก์ เป็น เอกสารปลอม คดี จึง มี ประเด็น ข้อพิพาท ตามคำฟ้อง และ คำให้การ ดังกล่าว ว่า จำเลย ยึด ที่ดินพิพาท โดยประมาท เลินเล่ออันเป็น การ ยึด และ ขาย ทรัพย์สิน โดยมิชอบ หรือไม่ การ ที่ ศาลชั้นต้นกำหนด ประเด็น ข้อพิพาท ว่า จำเลย ยึด ที่ดินพิพาท โดยสุจริต หรือไม่จึง เป็น การ กำหนด ประเด็น ข้อพิพาท นอกเหนือ ไป จาก คำฟ้อง และ คำให้การไม่ชอบ ด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่งประกอบ ด้วย มาตรา 183 วรรคสอง ซึ่ง เป็น การ ที่ ศาลชั้นต้น มิได้ปฏิบัติ ตาม บทบัญญัติ แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วย การพิจารณา อันเป็น ข้อกฎหมาย เกี่ยว ด้วย ความสงบ เรียบร้อย ของ ประชาชนตาม มาตรา 142(5) แม้ ไม่มี คู่ความ ฝ่ายใด ฎีกา ศาลฎีกา ก็ มีอำนาจยกขึ้น วินิจฉัย แล้ว พิพากษา ไป ตาม ประเด็น ที่ ถูกต้อง ได้ เมื่อ โจทก์ จำเลยต่าง ได้ นำสืบ ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับ ประเด็น ข้อพิพาท ดังกล่าว มา แล้วศาลฎีกา เห็นสมควร วินิจฉัย ตาม ประเด็น ข้อพิพาท โดย ไม่จำต้อง ย้อนสำนวนไป ให้ ศาลชั้นต้น พิจารณา พิพากษา ใหม่ พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง ฟังได้ใน เบื้องต้น ว่า เดิม ที่ดินพิพาท นาง พันธ์ สมภูวิเศษหรือชมพูวิเศษ เป็น ผู้มีสิทธิ ครอบครอง ตาม หนังสือรับรองการทำประโยชน์ เอกสาร หมาย จ. 1ต่อมา วันที่ 7 ตุลาคม 2529 นาง พันธ์ ได้ จดทะเบียน โอน ขาย ที่ดิน ดังกล่าว ให้ แก่ โจทก์ ตาม สารบัญ จดทะเบียน หลัง หนังสือ รับรอง การ ทำประโยชน์ และ หนังสือ สัญญา ขาย ที่ดิน เอกสาร หมาย จ. 1 และ จ. 2 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2526 นาง พันธ์ กู้ยืม เงิน จำเลย โดย นำ แบบ แสดง รายการ ที่ดิน (ภ.บ.ท. 5) มอบ ให้ เป็น ประกัน แต่ นาง พันธ์ ไม่ชำระ หนี้ เงินกู้ ยืม ดังกล่าว จำเลย จึง ฟ้อง นาง พันธ์ ให้ ชำระหนี้ เป็น คดีแพ่ง หมายเลขแดง ที่ 338/2529 ของ ศาลชั้นต้น ผล ปรากฏว่า จำเลย เป็นฝ่าย ชนะคดี ต่อมา จำเลย นำ เจ้าพนักงาน บังคับคดี ยึด ที่ดินพิพาท และขายทอดตลาด โดย เจ้าพนักงาน บังคับคดี ได้ ประกาศ ชอบแล้ว จำเลย อ้าง ตนเองเบิกความ เป็น พยาน ว่า จำเลย เป็น ผู้ซื้อ ที่ดิน ดังกล่าว ได้ ใน การ ประมูลครั้งที่ 4 เมื่อ วันที่ 18 สิงหาคม 2530 ดังนี้ แสดง ว่า จำเลย ได้ นำเจ้าพนักงาน บังคับคดี ยึด ที่ดินพิพาท ใน ช่วง พ.ศ. 2529 ถึง 2530ซึ่ง ขณะ นั้น ที่ดินพิพาท ได้ มี การ ออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้ แล้ว เนื่องจาก ปรากฏ ตาม เอกสาร หมาย จ. 1 ว่า เจ้าพนักงาน ได้ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ สำหรับ ที่ดินพิพาท ให้ แก่ นาง พันธ์ ตั้งแต่ วันที่ 16 เมษายน 2519 ประกอบ กับ จำเลย ได้ แถลงรับ ตามรายงาน กระบวนพิจารณา ของ ศาลชั้นต้น ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2532 ว่าที่ดินพิพาท ได้ ออก เป็น หนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยชอบ แล้วมีเหตุ ผล ให้ เชื่อ ว่า ขณะที่ จำเลย นำ เจ้าพนักงาน บังคับคดี ยึด ที่ดินพิพาท ใน คดีแพ่ง หมายเลขแดง ที่ 338/2529 ของ ศาลชั้นต้น จำเลย ทราบ ดีอยู่ แล้ว ว่า ที่ดินพิพาท เป็น ที่ดิน ที่ มี การ ออก หนังสือ รับรอง การ ทำประโยชน์ ตาม เอกสาร หมาย จ. 1 ไว้ แล้ว จำเลย จึง สามารถ ตรวจสอบ ให้ ทราบได้ โดย ง่าย ถึง ความ มี อยู่ และ ความ แท้จริง แห่ง เอกสาร นั้น ว่า ลูกหนี้ตาม คำพิพากษา ของ จำเลย เป็น ผู้มีสิทธิ ครอบครอง ใน ที่ดินพิพาท หรือไม่ซึ่ง เรื่อง นี้ จำเลย ก็ เบิกความ ว่า ก่อน จำเลย นำ เจ้าพนักงาน บังคับคดียึด ที่ดินพิพาท จำเลย มิได้ ตรวจสอบ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว หรือ สอบถาม เจ้าของ ที่ดิน ข้างเคียง กับ ที่ดินพิพาท แต่อย่างใดซึ่ง หาก จำเลย ได้ ตรวจสอบ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ดังกล่าวจำเลย ย่อม ทราบ ว่า โจทก์ เป็น ผู้มีชื่อ ใน หนังสือรับรองการทำประโยชน์และ คง ไม่นำ เจ้าพนักงาน บังคับคดี ไป ยึด ที่ดินพิพาท เพราะ จำเลย คง ต้องตรวจสอบ ให้ ได้ความ แน่ชัด ว่า โจทก์ เป็น ผู้มีสิทธิ ครอบครอง ใน ที่ดินพิพาท จริง หรือไม่ หรือ โจทก์ เป็น เพียง ผู้ถือ สิทธิ ครอบครอง ที่ดินพิพาทไว้ แทน ผู้อื่น การ ที่ จำเลย นำยึด ที่ดินพิพาท โดย ยัง ไม่ทราบ แน่ชัด ว่าที่ดิน นั้น ยัง เป็น ของ นาง พันธ์ ลูกหนี้ ตาม คำพิพากษา ของ ตน หรือไม่ จึง เป็น ความประมาท เลินเล่อ ของ จำเลย จำเลย จึง ไม่อาจ อ้าง ได้ว่าการ นำยึด ที่ดินพิพาท และ ขาย ที่ดิน นั้น เป็น การ ยึด และ ขาย ทรัพย์สินโดยชอบ ได้ โจทก์ นำสืบ ว่า โจทก์ เป็น ผู้มีสิทธิ ครอบครอง ที่ดินพิพาทโดย ซื้อ มาจาก นาง พันธ์ ตั้งแต่ เมื่อ วันที่ 7 ตุลาคม 2529 ก่อน ที่ จำเลย จะ นำ เจ้าพนักงาน บังคับคดี ไป ยึด เมื่อ จำเลย ไม่มี พยานหลักฐานอื่น ใด นำสืบ หักล้าง พยานหลักฐาน ของ โจทก์ ให้ เห็น เป็น อย่างอื่นข้อเท็จจริง จึง ฟังได้ ว่า โจทก์ เป็น ผู้มีสิทธิ ครอบครอง ใน ที่ดินพิพาทเมื่อ โจทก์ เป็น ผู้มีสิทธิ ครอบครอง ที่ดินพิพาท และ ได้รับ ความเสียหายอัน เกิดจาก การ ยึด และ ขาย ทรัพย์สิน ของ จำเลย โดยมิชอบ จำเลย ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา จึง ต้อง รับผิด ต่อ โจทก์ ผู้เป็น บุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 วรรคสองที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษา ให้ จำเลย รับผิด ต่อ โจทก์ โดย ใช้ค่าสินไหมทดแทน นั้น ศาลฎีกา เห็นพ้อง ด้วย ใน ผล ฎีกา ของ จำเลยฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน