คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8152/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การคิดคำนวณทุนทรัพย์นั้นพึงคิดจากราคาตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องในศาลชั้นต้นหรือผู้อุทธรณ์ในชั้นศาลอุทธรณ์หรือผู้ฎีกาในชั้นศาลฎีกา มิใช่คิดคำนวณทุนทรัพย์จากผู้ที่มิได้ฟ้องหรือมิได้อุทธรณ์หรือมิได้ฎีกา โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งเจ็ดคนละเท่าๆ กัน คือคนละหนึ่งในแปดส่วนของทุนทรัพย์ 345,000 บาท จำเลยให้การว่า ที่พิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์ ดังนี้ การคิดคำนวณทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์สามารถแยกคิดออกเป็นของโจทก์แต่ละคนได้โดยชัดแจ้งคือคนละ 43,125 บาท ไม่เกินคนละ 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นมารดาของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 และจำเลย ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยมีสิทธิในที่ดิน น.ส.3 ทะเบียนเล่ม 6 หน้า 130 สารบบเล่มหมู่ที่ 3หน้า 92 ตำบลเชียงพิณ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีคนละส่วนเท่า ๆ กัน หากไม่สามารถแบ่งกันได้ก็ให้นำทรัพย์ดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินที่ขายได้แบ่งกันแทน ให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งเจ็ดในเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้โอนที่ดินให้แก่จำเลยตามคำสั่งของผู้ตาย หาใช่เป็นการโอนให้แก่จำเลยเพื่อยึดถือไว้แทนทายาทของผู้ตายไม่ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องเป็นคดีมีทุนทรัพย์พิพาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 345,000 บาทโดยฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งเจ็ดคนละเท่า ๆ กัน คือคนละหนึ่งในแปดส่วนของทุนทรัพย์345,000 บาท คือคนละ 43,125 บาท การคิดคำนวณทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์สามารถแยกคิดดอกเป็นของโจทก์แต่ละคนได้โดยชัดแจ้ง คือคนละ 43,125 บาท ดังนั้น ทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละบุคคลจึงไม่เกินคนละ 50,000 บาท อันเป็นการต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาว่าการคิดคำนวณทุนทรัพย์พิพาทต้องคิดคำนวณจากคำให้การของจำเลยที่ต่อสู้ว่าที่พิพาทมิใช่ทรัพย์มรดก และหากเป็นดังที่จำเลยอ้างแล้ว จำเลยย่อมได้รับผลตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งคดีคือราคาทรัพย์พิพาท 345,000 บาท เห็นว่า การคิดคำนวณทุนทรัพย์นั้นพึงคิดจากราคาตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องในศาลชั้นต้น หรือผู้อุทธรณ์ในชั้นศาลอุทธรณ์หรือผู้ฎีกาในชั้นศาลฎีกามิใช่คิดคำนวณทุนทรัพย์จากผู้ที่มิได้ฟ้องหรือมิได้อุทธรณ์หรือมิได้ฎีกาคดีนี้โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นผู้อุทธรณ์จึงต้องคิดทุนทรัพย์จากโจทก์แต่ละคนซึ่งสามารถคิดคำนวณทุนทรัพย์แยกออกจากกันได้คือคนละ 43,125 บาท เมื่อทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนไม่ถึงจำนวน 50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายข้างต้น
พิพากษายืน

Share