แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์ว่าหากโจทก์ผ่อนผันเวลาการชำระหนี้ให้แก่ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยตกลงด้วยในการผ่อนผันเวลาทุกครั้งโดยโจทก์ไม่ต้องแจ้งให้ทราบก่อน เช่นนี้จำเลยจึงต้องรับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคม 2522 จำเลยในฐานะกรรมการ ผู้จัดการบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ขอให้ทำอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน ฉบับหนึ่งซึ่งออกโดยบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 8,000,000 บาท เพื่อนำไปขายลดให้แก่บริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด โจทก์ตกลงอนุมัติตามขอ ในวันที่ 22 ตุลาคม 2522 จำเลยและผู้มีชื่อได้ร่วมกันทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ว่า หากโจทก์ได้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้ว จำเลยยอมชดใช้เงินจำนวนที่โจทก์ได้จ่ายไปตามตั๋วนั้นทั้งหมดให้แก่โจทก์จนครบถ้วนทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวและไม่ต้องไปไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ออกตั๋วก่อน รวมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ได้จ่ายไป หากโจทก์ผ่อนเวลาการชำระหนี้ให้แก่ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยก็ตกลงในการผ่อนเวลาทุกครั้งโดยไม่จำต้องแจ้งให้จำเลยทราบ หลังจากที่จำเลยได้ออกหนังสือค้ำประกันให้โจทก์ไว้แล้ว ในวันเดียวกันบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแก่บริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด จำนวน 8,000,000 บาท ในวันที่22 เมษายน 2523 พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี และได้นำมาให้โจทก์อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวถึงกำหนดวันใช้เงิน บริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ไม่สามารถชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่บริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัยจำกัด ผู้ทรงตั๋วได้ บริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จึงได้ขอต่ออายุตั๋วสัญญาใช้เงินกับบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัดออกไปอีกรวม 2 ครั้ง ครั้งละ 1 ปี โจทก์ได้อาวัลตั๋วให้ทั้งสองคราวคือตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 22 เมษายน 2523 และวันที่ 22เมษายน 2524 เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงิน ฉบับลงวันที่ 22 เมษายน 2524ถึงกำหนดใช้เงินในวันที่ 22 เมษายน 2525 บริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ไม่ชำระเงินตามตั๋ว และบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด ไม่ยอมต่ออายุตั๋วสัญญาใช้เงินให้อีก โจทก์จึงได้ชำระเงินให้บริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด ไปตามภาระอาวัลตั๋วดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2525 เป็นจำนวน6,705,780.82 บาท จำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ตามหนังสือสัญญาค้ำประกัน นับแต่โจทก์ได้จ่ายเงินตามภาระอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไปแล้ว บริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ออกตั๋วและผู้เกี่ยวข้องได้นำเงินต้นมาผ่อนชำระให้โจทก์รวม 10 งวด รวมเป็นเงิน4,478,995.95 บาท ยังค้างชำระต้นเงิน 2,226,784.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 กันยายน 2527 คิดถึงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้ โจทก์พร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น2,259,302.03 บาท ขอบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยกับนายศุภสิทธิ์ มหาคุณ ได้ทำหนังสือค้ำประกันในการที่จำเลยได้ร้องขอให้โจทก์เข้าอาวัลหรือรับรองตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 22 ตุลาคม 2522 ของบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ออกตั๋ว จำเลยไม่เคยร้องขอให้โจทก์อาวัล หรือรับรองตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 22 เมษายน2523 และฉบับลงวันที่ 22 เมษายน 2524 การที่โจทก์เข้าอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับดังกล่าวนั้น จำเลยหาได้ร่วมรู้เห็นหรือตกลงด้วยแต่ประการใดไม่ เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่22 ตุลาคม 2522 ได้ระงับลงและถูกยกเลิกแล้วจึงไม่มีมูลหนี้ใด ๆที่จำเลยจะต้องรับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันอีกต่อไป และโจทก์ไม่ได้ชำระเงินให้แก่บริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,259,302.03บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ในต้นเงิน2,226,784.87 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.7 ที่จำเลยทำไว้ต่อโจทก์เพื่อค้ำประกันในการที่โจทก์เข้ารับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.8 เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้ว ความรับผิดของจำเลยย่อมสิ้นสุดลงนั้น โจทก์มีนางยุพิน ตันตธรรมกุล ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นพนักงานบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด เป็นพยานเบิกความว่า ก่อนที่ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับแรกเอกสารหมาย จ.8 จะถึงกำหนด จำเลยในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ขอต่ออายุตั๋วสัญญาใช้เงินออกไปอีก 1 ปี ตามเอกสารหมาย จ.19 กับมีนางสาวเปรมวดี เจริญศรีหัวหน้าฝ่ายการเงินของโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า ก่อนตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับแรกเอกสารหมาย จ.8 และฉบับที่ 2 เอกสารหมายจ.10 ถึงกำหนด จำเลยได้ขอให้พยานเสนอกรรมการของโจทก์ให้โจทก์เข้าอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.10 และ จ.12 ส่วนจำเลยคงมีตัวจำเลยเบิกความกล่าวอ้างเพียงลอย ๆ ว่า จำเลยไม่เคยขอร้องให้โจทก์เข้ารับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.10 และ จ.12โดยไม่ได้ปฏิเสธข้อนำสืบของโจทก์ดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อโจทก์มีเอกสารหมาย จ.19 ซึ่งเป็นหนังสือของบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ลงนามโดยจำเลยขอต่ออายุตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.8 ออกไปมาแสดงเช่นนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.8 ถึงกำหนด บริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ออกตั๋วได้ขอยืดเวลาการชำระหนี้ตามตั๋วนั้นต่อบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด ผู้ทรงออกไปรวม 2 ครั้งโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ใหม่ตามเอกสารหมาย จ.10 และ จ.12ในการออกตั๋วสัญญาใช้เงินใหม่ทั้งสองครั้งดังกล่าว โจทก์ได้เข้าอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นตามคำขอร้องของบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.10 จ.12มีมูลหนี้มาจากตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.8 และตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.7 ข้อ 1 กับข้อ 2 ที่จำเลย และนายศุภสิทธิ์ร่วมกันทำไว้กับโจทก์มีใจความว่า จำเลยยอมรับผิดชดใช้เงินที่โจทก์จ่ายไปในการที่โจทก์อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในวงเงิน 8,000,000 บาทเท่านั้น หาได้ระบุวันออกตั๋วและวันถึงกำหนดใช้เงินไว้ไม่ อีกทั้งข้อ 4 หากโจทก์ผ่อนผันเวลาการชำระหนี้ให้แก่ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (บริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด) จำเลยและนายศุภสิทธิ์ตกลงด้วยในการผ่อนผันเวลาทุกครั้ง โดยโจทก์ไม่ต้องแจ้งให้ทราบก่อนเช่นนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.7 ต่อโจทก์ในการที่โจทก์เข้ารับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.12 โดยต้องชำระเงินที่โจทก์ได้จ่ายไปตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยซึ่งยังคงเหลืออยู่ตามฟ้อง…”
พิพากษายืน.