คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 815/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรค 1 วางหลังให้พิจารณาควาาผิดของจำเลยและลงโทษตามกฎหมายในขณะที่จำเลยกระทำการอันถูกล่าวหานั้น และแม้ว่าได้มีการยกเลิกกฎหมายนั้นเสียแล้วมาตรา 2 วรรค 2 และมาตรา 3 ก็ให้พิจารณาใช้กฎหมายใหม่เฉพาะแต่เมื่อเป็นคุณแก่จำเลยเท่านั้นถ้ากฎหมายใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย ก็ยังใช้กฎหมายเก่าบังคับคดี
อัยการมีอำจาจขอให้ศาลสั่งทำลายต้นยางพาราซึ่งปลูกใหม่ โดยมิได้รับอนุญาต และขอให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายในการทำลายนั้นได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2481 มาตรา 15 คำขอเช่นว่านี้เป็น คำขอทางอาญา หาใช่คำขอทางแพ่งไม่.

ย่อยาว

คดีนี้ ได้ความตามฟ้องและคำรับสารภาพของจำเลยว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑ กันยายน ถึงวันที ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๒ เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยบังอาจแล้วถามป่าเนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่ และบังอาจตัดฟันไม้หวงห้าม ๑๕ ต้น โดยมิได้รับอนุญาต ทั้งบังอาจเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐและปลูกยางพาราใหม่ประมาณ ๑,๐๐๐ ต้น โดยมิได้รับอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษ ซึ่งรวมทั้งพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๑,๑๖,๑๗ ด้วย แต่ให้ลงโทษจำเลยฐานแผ้วถางป่าตัดฟันไม้หวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๗๓ แก้ไข เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๑๗ ซึ่งเป็นบทหนักและเป็นคุณแก่จำเลย ให้จำคุก ๑ เดือน ๑๐ วัน กับปรับ ๒๕๐ บาท ลงโทษฐานยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๑๐๘ ปรับ ๓๐๐ บาท และฐานปลูกยางใหม่ไม่ได้รับอนุญาต ปรับ ๕๐๐ บาท รวมเป็นจำคุก ๑ เดือน ๑๐ วัน ปรับ ๑,๐๕๐ บาท ปราณีลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๒๐ วัน กับปรับ ๕๒๕ บาท แต่ให้รอโทษจำคุกไว้มีกำหนด ๑ ปี ส่วนที่โจทก์ขอให้สั่งทำลายต้นยางที่ปลูกใหม่โดยฝ่าฝืนกฎหมายและให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๑๑,๑๖,๑๗ และพิพากษาแก้ให้ทำลายต้นยางที่ปลูกใหม่เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาาญา มาตรา ๒ วรรค ๑ ได้วางหลักว่า ให้พิจารณาความผิดของจำเลยและลงโทษจำเลยตามกฎหมายในขณะที่จำเลยกระทำการอันถูกกล่าวหานั้น และแม้ถึงว่าได้มีการยกเลิกกฎหมายนั้นเสียแล้วมาตรา ๒ วรรค ๒ และมาตรา ๒ ก็ให้พิจารณาใช้กฎหมายใหม่เฉพาะแต่เมื่อเป็นคุณแก่จำเลยเท่านั้น ถ้ากฎหมายใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย ก็ยังให้ใช้กฎหมายเก่าบังคับคดีเพราะมาตรา ๒ วรรค ๑ ก็ดี หรือมาตรา ๓ ก็ดี คงรับรองให้ใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะจำเลยกระทำการอันเป็นความผิด (หรือกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย) นั้นอยู่ ฉะนั้น ในคดีนี้เมื่อพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๐๓ เป็นกฎหมายใหม่และไม่เป็นคุณแก่จำเลย ซึ่งตามหลักดังกล่าวข้างต้น ศาลจะต้องพิจาณาลงโทษจำเลยตามกฎหมายเก่า กรณีก็ไม่อาจเป็นดังที่โจทก์อ้างว่ากฎหมายเก่าได้ถูกยกเลิกเสียแล้วถ้าศาลไม่พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔ ) พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๑๑,๑๖,และ ๑๗ จะลงโทษจำเลยไม่ได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ตามประเด็นข้อ ๒ เห็นว่าพระราชบัญญัตควบคุมยาง พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๑๕ ได้บัญญัติเรื่องทำลายต้นยางและเรื่องออกค่าใช้จ่ายไว้เป็นเรื่องเดียวกัน การบังคับให้เสียค่าใช้จ่ายย่อมเป็นวิธีการส่วนหนึ่งของการบังคับให้ทำลายต้นยาง ต้องบังคับควบคู่กันไป มิฉะนั้นจะบังคับให้การทำลายต้นยางเป็นผลสมบูรณ์ไม่ได้ จึงจะแยกคำขอให้เสียค่าใช้จ่ายดังกล่าวออกมาว่าเป็นคำขอทางแพ่งหาได้ไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้ ให้ทำลายต้นยางที่จำเลยปลูกใหม่โดยการฝ่าฝืนนั้น และให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ.๒๔๘๑ มาตรา ๑๕ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share