คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8147/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการผิดระเบียบ มิได้อุทธรณ์ว่าเป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้องและอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ แต่ได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่พ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่นั้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีประเด็นโต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองยี่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านพิพาทที่จังหวัดจันทบุรี แต่เมื่อขณะถูกฟ้องจนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยทั้งสองได้ไปค้าขายอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี จึงไม่ทราบเรื่องที่ถูกฟ้อง ซึ่งโดยสภาพย่อมเป็นเรื่องพ้นวิสัยที่จำเลยทั้งสองจะมายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาได้ จำเลยทั้งสองจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วได้
การที่พนักงานเดินหมายนำหมายนัดสืบพยานโจทก์ไปปิด ณ บ้านจำเลยทั้งสอง เป็นเวลาก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์เพียง 11 วัน การปิดหมายนัดดังกล่าวจึงไม่มีผลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองทราบวันนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบ แม้จำเลยทั้งสองไม่ไปศาลในวันนัดก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ชอบที่ศาลจะเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวเสียได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านพิพาท พร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านพิพาท ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านดังกล่าว กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องมาก่อน เพราะไม่เคยได้รับหมายเรียกและหมายนัดสืบพยานโจทก์ เพิ่งจะทราบว่าถูกฟ้องเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๑ ขณะที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขับไล่จำเลยทั้งสองให้ออกจากบ้านพิพาท และขณะที่พนักงานเดินหมายนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลยทั้งสองนั้น จำเลยไม่อยู่ที่บ้านพิพาทไปขายของที่ต่างจังหวัด จำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ การที่จำเลยทั้งสองไม่ไปศาลในวันนัดสืบพยานแล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาให้ทำการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดี เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการปิดหมายนัดสืบพยานโจทก์ไม่ครบกำหนดระยะเวลา ๑๕ วัน จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จำเลยทั้งสองขอคัดค้านการพิจารณา คำพิพากษาและการบังคับคดีว่าไม่ถูกต้องผิดระเบียบ ขอให้ศาลไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมายและผิดระเบียบ และมีคำสั่งเรียกให้จำเลยทั้งสองต่อสู้คดีต่อไป
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทั้งสองได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแล้วโดยชอบ และจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ เพราะศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์กระทำโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า ตามคำร้องของจำเลยทั้งสองขอให้แก้ไขหรือเพิกถอนข้อผิดพลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ หาได้ขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ ไม่ ซึ่งการร้องขอแก้ไขหรือเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา ๒๗ นั้น จะต้องกระทำก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา คดีนี้มีศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา แล้วได้พิจารณาคดีของโจทก์ไปฝ่ายเดียวจนได้ชี้ขาดตัดสินให้จำเลยทั้งสองแพ้คดีแล้ว ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเอง จำเลยทั้งสองมีทางจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้โดยอุทธรณ์คำพิพากษาหรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๗ และ ๒๐๘ เท่านั้น จึงให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ระหว่างระยะเวลาแก้ฎีกา โจทก์ถึงแก่กรรม นางขันทอง ยินสูตร มารดาโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต ซึ่งเป็นการไม่ชอบ จึงให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ถึงแก่กรรม และนางขันทองเป็นมารดาของโจทก์ ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งอนุญาตให้นางขันทองเป็นคู่ความแทนโจทก์
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ ๒ ถึงแก่กรรม นายกิตติพงศ์ ยรรยงสิริวงศ์ สามีของจำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า ตามคำร้องของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องขอให้แก้ไขหรือเพิกถอนข้อผิดพลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ หาได้ขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ ไม่ ซึ่งคำร้องขอแก้ไขหรือเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา ๒๗ นั้น จะต้องทำก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา…ให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ซึ่งจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการผิดระเบียบอยู่สองประการ ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตั้งแต่การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โดยมิได้อุทธรณ์ว่าตามคำร้องของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า ตามคำร้องและอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองพอแปลได้ว่าเป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ แต่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่เมื่อพ้นกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่ ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของจำเลยทั้งสองนั้นแล้วนั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีประเด็นที่โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์ การที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไปว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วได้หรือไม่ ปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวน เห็นว่า ได้ความจากทางนำสืบของจำเลยทั้งสองว่า ขณะถูกฟ้องจนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยทั้งสองได้ไปค้าขายอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี จึงไม่ทราบเรื่องที่ถูกฟ้อง ซึ่งจำเลยทั้งสองมีนางจิตรา สิงห์สังวร นางสาวณัฐสุชา จิรวงษ์กาญจนา นายจริน เจริญการ และนายคมพล ยรรยงสิริวงศ์ บุตรชายจำเลยทั้งสองมาเบิกความยืนยัน ส่วนโจทก์ไม่มีพยานมานำสืบหักล้าง จึงรับฟังได้ดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง ซึ่งโดยสภาพดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องพ้นวิสัย ที่จำเลยทั้งสองจะมายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นาจะมีคำพิพากษาได้ เพราะจำเลยทั้งสองยังไม่ทราบถึงเหตุดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการสุดท้ายมีว่า มีเหตุเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นหรือไม่ ในปัญหานี้แม้ศาลชั้นต้นจะยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง แต่ศาลชั้นต้นได้สืบพยานจำเลยทั้งสองและโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์ให้แก่จำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากพนักงานเดินหมายของศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปปิดผิดบ้านนั้น เห็นว่า ตามคำร้องของจำเลยทั้งสองอ้างเพียงว่าขณะที่พนักงานเดินหมายนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลยทั้งสองนั้น จำเลยทั้งสองไม่อยู่บ้าน ไปขายของที่ต่างจังหวัด จึงเท่ากับจำเลยทั้งสองยอมรับว่าพนักงานเดินหมายนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งที่บ้านของจำเลยทั้งสองแล้ว ข้ออ้างที่ว่า การปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องผิดบ้านจึงเป็นข้อที่มิได้กล่าวอ้างไว้ในคำร้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า พนักงานเดินหมายได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งที่บ้านจำเลยทั้งสอง จึงเป็นการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยชอบ ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การปิดหมายนัดสืบพยานโจทก์ไม่ชอบเนื่องจากปิดไม่ครบ ๑๕ วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๗๙ นั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๔๑ แต่พนักงานเดินหมายนำหมายสืบพยานโจทก์ไปปิด ณ บ้านจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นเวลาก่อนวันนัดสืบพยานเพียง ๑๑ วัน การปิดหมายนัดดังกล่าวจึงไม่มีผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๗๙ วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองทราบวันนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบแล้ว แม้จำเลยทั้งสองไม่ไปศาลในวันนัดก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาแล้วให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ชอบที่ศาลจะเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ ฎีกาจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๑ และคำสั่งที่ให้จำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่การส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทั้งสอง แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

นายวรณัฏฐ์ สังข์ใหม่ ผู้ช่วยฯ
น.ส. อังคณา สินเกษม ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายวีระวัฒน์ ปวราจารย์ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

Share