แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาจ้างทำของ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยชำระค่าจ้างแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์นำความอันเป็นเท็จมาฟ้องทำให้จำเลยเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยอันเป็นเรื่องละเมิด สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องและฟ้องแย้งเป็นคนละเรื่อง คนละเหตุ ไม่เกี่ยวข้องกัน ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 10 เมษายน 2545 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2546 จำเลยจ้างโจทก์ทำสติกเกอร์ชนิดและประเภทต่างๆ หลายครั้ง โจทก์ส่งมอบสติกเกอร์ถูกต้องตามชนิดและจำนวนที่จำเลยสั่งทำให้แก่จำเลยแล้ว เป็นค่าจ้างทั้งสิ้น 1,459,424.50 บาท แต่จำเลยไม่ชำระค่าจ้างตามกำหนด โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,576,909.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,459,424.50 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ทำสติกเกอร์ต่างๆ และได้รับสติกเกอร์ดังกล่าวจากโจทก์จริง แต่จำเลยชำระค่าจ้างทำสติกเกอร์แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่เคยค้างชำระค่าจ้างทำสติกเกอร์ดังกล่าว โจทก์ตกลงจะรับจ้างทำสติกเกอร์ให้แก่จำเลยแต่เพียงผู้เดียว แต่กลับแอบรับจ้างทำสติกเกอร์ให้แก่ผู้อื่นโดยใช้รูปแบบสติกเกอร์ที่จำเลยคิดประดิษฐ์ขึ้น อันเป็นการละเมิดสิทธิของจำเลยทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา นอกจากนี้โจทก์ปลอมแปลงบิลเงินสด ใบส่งของชั่วคราว และสร้างพยานหลักฐานเป็นเท็จมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ทั้งๆ ที่โจทก์ทราบดีว่าจำเลยไม่ได้ค้างชำระหนี้โจทก์ โจทก์ใช้สิทธินำคดีมาฟ้องโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีเจตนากลั่นแกล้งให้จำเลยได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง หรือเกียรติคุณ หรือทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของจำเลย ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำให้การและฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะชำระเสร็จแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องแย้งในมูลละเมิดซึ่งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม บัญญัติว่า “จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ แต่ถ้าฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก” คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาจ้างทำของ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยชำระค่าจ้างแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์นำความอันเป็นเท็จมาฟ้องทำให้จำเลยเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยอันเป็นเรื่องละเมิด คดีนี้ สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องและฟ้องแย้งเป็นคนละเรื่อง คนละเหตุ ไม่เกี่ยวข้องกันฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จำเลยไม่อาจฟ้องแย้งรวมมาในคำให้การได้ ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้งและศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.