แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญา (ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177) แม้โจทก์ถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาและทายาทของผู้มรณะไม่ติดใจรับมรดกความ ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีไปได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2520)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๑๗ เวลากลางวัน จำเลยทั้ง ๖ คน ซึ่งรับราชการเป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอเดินบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี บังอาจร่วมกันเอามูลฝิ่นและเครื่องอุปกรณ์ในการสูบฝิ่นยัดเยียดใส่ให้โจทก์ และทำบันทึกการตรวจค้นจับกุมว่าพบมูลฝิ่นและเครื่องอุปกรณ์ในการสูบฝิ่นดังกล่าวที่ตัวโจทก์ เป็นการทำพยานหลักฐานเท็จ เพื่อให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าโจทก์กระทำผิด วันเดียวกันนั้นเวลากลางวัน จำเลยร่วมกันแจ้งข้อความซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อร้อยตำรวจโท ถนอมพนักงานสอบสวนว่า โจทก์มีมูลฝิ่นเครื่องอุปกรณ์ในการสูบฝิ่นและเห็นโจทก์สูบฝิ่น ทั้งนี้ เพื่อให้โจทก์รับโทษทางอาญา ความจริงโจทก์มิได้กระทำผิด การกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โจทก์ถูกร้อยตำรวจโทถนอมควบคุมตัวและดำเนินคดีในข้อหาว่ากระทำผิดตามที่จำเลยแจ้งความ เหตุเกินที่ตำบลหัวนาและตำบลเขาพระ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๗ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เบิกความโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จต่อศาลในการพิจารณาหมายเลขแดงที่ ๑๖๕๐/๒๕๑๗ ของศาลจังหวัดสุพรรณบุรีว่าเห็นโจทก์มีมูลฝิ่น เครื่องอุปกรณ์ในการสูบฝิ่นและเห็นโจทก์กำลังสูบฝิ่น เหตุเกิดที่ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๒, ๑๗๗, ๑๗๙, ๑๕๗, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ ส่วนข้อหาอื่น (สำหรับจำเลยที่ ๑) และ (ข้อหาสำหรับ) จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ทุกข้อหาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า คดีเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ มีมูลตามข้อหาอื่นที่โจทก์ฟ้องด้วย ส่วนจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ มีมูลตามฟ้องทุกข้อหา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่าคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ มีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓, ๑๗๙, ๑๕๗, ๘๓ ด้วย จำเลยที่ ๒ มีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗, ๘๓ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ มีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓, ๑๗๙, ๑๕๗, ๘๓
ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นนัดพร้อมสอบถามคู่ความแล้วปรากฏว่าทายาทของผู้มรณะไม่ติดใจรับมรดกความ
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่มีมติว่า แม้โจทก์จะมรณะ ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีไปได้ และเห็นฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้และพิพากษาให้ยกฎีกาของโจทก์