แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญารับจ้างทำของหรือสัญญาให้บริการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 และประมวลรัษฎากรมาตรา 77/1(10) ข้อตกลงระบุให้การสื่อสารแห่งประเทศไทยชำระราคาค่าจ้างให้แก่โจทก์ 3 งวด จากจำนวนเงินค่าจ้างทั้งหมด 5,950,000 บาท เป็นเงินงวดละ 1,983,333.33 บาทต่อมาแม้โจทก์จะได้ตกลงกับการสื่อสารแห่งประเทศไทยใหม่โดยให้การสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าตราไปรษณียากรข้อตกลงดังกล่าวต่างกับสัญญาที่ทำไว้เดิม โดยระบุให้การสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าและเป็นผู้ชำระราคาซี.ไอ.เอฟ. จำนวน 1,655,641 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม115,894 บาท ตามหลักฐานของกรมศุลกากรก็ตาม แต่โจทก์ก็รับว่าเงินจำนวนดังกล่าวโจทก์เป็นผู้ชำระแทนการสื่อสารแห่งประเทศไทยโดยโจทก์ยังคงรับเงินค่าจ้างจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยในงวดแรกเป็นจำนวนเงิน 1,983,333.33 บาท ตรงตามสัญญาเดิม จึงต้องถือว่าโดยพฤตินัยการสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าตราไปรษณียากรแทนโจทก์ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระราคาค่าสินค้าตราไปรษณียากรพร้อมค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นจำนวนเงินตามหลักฐานที่กรมศุลกากรออกให้อยู่นั้นเอง จึงเห็นได้ว่าจำนวนเงินที่ว่านี้มิใช่ราคาค่าจ้างหรือค่าบริการที่โจทก์ได้ทำการตกลงกับการสื่อสารแห่งประเทศไทยใหม่ แต่ฟังได้ว่าโจทก์ได้รับเงินค่าจ้างหรือค่าบริการในการนำเข้าตราไปรษณียากรจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยในครั้งนี้เป็นเงิน 1,983,333.33 บาทตรงตามสัญญา เงินจำนวนนี้จึงเป็นมูลค่าที่โจทก์ได้รับจากการให้บริการ ซึ่งเป็นฐานภาษีสำหรับการให้บริการที่โจทก์จะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีขาย) จากการสื่อสารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นผู้รับบริการคิดเป็นภาษีขายจำนวน 138,833.33 บาท ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79และมาตรา 82/4
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเลขที่ 1037/5/103488 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2537 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ 42/2539/2 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2538
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ประจำเดือนมีนาคม 2535 โดยแสดงยอดขายเป็นจำนวนเงิน 16,696,826.97 บาทภาษีขายจำนวนเงิน 1,052,883.35 บาท ยอดซื้อจำนวนเงิน14,529,383.32 บาท ภาษีซื้อจำนวนเงิน 1,016,977.12 บาทโจทก์ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนภาษีดังกล่าวเป็นเงิน 35,906.23 บาทเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า ยอดขายดังกล่าวโจทก์ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 1,168,777.89 บาทจึงได้ออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีอากรโจทก์ ได้ความว่าโจทก์ได้ทำสัญญารับจ้างพิมพ์ตราไปรษณียากรให้แก่การสื่อสารแห่งประเทศไทยโดยคิดค่าจ้างเป็นเงิน 5,950,000 บาท กำหนดส่งตราไปรษณียากร3 งวด ตามสัญญาจ้างต่อมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2535การสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าไปรษณียากรดังกล่าวโดยสำแดงราคาสินค้า 1,655,641 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม115,894 บาท กรมศุลกากรออกใบเสร็จรับเงินให้แก่การสื่อสารแห่งประเทศไทย ต่อมาวันที่ 5 มีนาคม 2535 การสื่อสารแห่งประเทศไทยได้จ่ายเงินให้แก่โจทก์เป็นเงิน 2,006,271.79 บาท โดยระบุค่าจ้างเป็นเงิน 1,983,333.33 บาท ซึ่งตรงกับราคาค่าจ้างงวดแรกที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยจะต้องชำระแก่โจทก์ ส่วนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่โจทก์เรียกเก็บจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยจำนวน 22,938.46 บาท โดยโจทก์คิดคำนวณจากฐานภาษี (1,983,333.33 ลบ 1,655,641 เท่ากับ 327,692.33 บาท)
ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์มีว่า การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนมีนาคม 2535 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใดข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ทำสัญญากับการสื่อสารแห่งประเทศไทยตามเอกสารหมาย จ.5 แผ่นที่ 1 ถึง 7 ตกลงกัน ในข้อ 2 ระบุว่า”ผู้รับจ้างตกลงรับทำการตามที่กำหนดดังกล่าวในสัญญาข้อ 1โดยคิดค่าจ้างเป็นเงินทั้งสิ้น 5,950,000 บาท ซึ่งเป็นราคารวมทั้งค่าสัมภาระ ค่าแรงงาน ค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการดำเนินการให้แก่ผู้ว่าจ้างจากสถานีที่พิมพ์จนถึงท่าเรือกรุงเทพฯ(C.I.F BANGKOK) และค่าขนส่ง จากท่าเรือกรุงเทพฯ จนถึงสำนักงานของผู้ว่าจ้างด้วย” เห็นได้ว่าเป็นสัญญาจ้างทำของหรือสัญญาให้บริการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587และประมวลรัษฎากร มาตรา 77/1 (10) ข้อตกลงระบุให้การสื่อสารแห่งประเทศไทยชำระราคาค่าจ้างให้แก่โจทก์ 3 งวด จากจำนวนเงินค่าจ้างทั้งหมด 5,950,000 บาท โดยการสื่อสารแห่งประเทศไทยจะต้องชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เป็นเงินงวดละ 1,983,333.33 บาทต่อมาแม้โจทก์จะได้ตกลงกับการสื่อสารแห่งประเทศไทยใหม่โดยให้การสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าตราไปรษณียากร ข้อตกลงดังกล่าวต่างกับสัญญาตามเอกสารหมาย จ.5 แผ่นที่ 1 ถึง 7 ข้อ 2ที่ทำไว้เดิม ดังปรากฏตามเอกสารหลักฐานของกรมศุลกากรซึ่งระบุว่าการสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าและเป็นผู้ชำระราคา ซี.ไอ.เอฟ.จำนวน 1,655,641 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 115,894 บาท ดังที่โจทก์อ้างก็ตาม แต่โจทก์ก็รับว่าเงินจำนวนดังกล่าวโจทก์เป็นผู้ชำระแทนการสื่อสารแห่งประเทศไทยโดยโจทก์ยังคงรับเงินค่าจ้างจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยในงวดแรกเป็นจำนวนเงิน 1,983,333.33บาท ตรงตามสัญญา เอกสารหมาย จ.5 แผ่นที่ 1 ถึง 7 ที่โจทก์กับการสื่อสารแห่งประเทศไทยได้ทำไว้ต่อกัน การที่โจทก์ได้รับค่าจ้างพิมพ์ตราไปรษณียากรจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยในงวดแรกตามที่ปรากฏในสัญญา โดยราคาสินค้าตามราคา ซี.ไอ.เอฟ. จำนวน1,655,641 บาท และค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 115,894 บาท สำหรับการนำเข้าสินค้าตามหลักฐานที่กรมศุลกากรออกให้แก่การสื่อสารแห่งประเทศไทยนั้น ในทางพฤตินัยการสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าตราไปรษณียากรแทนโจทก์ ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระราคาค่าสินค้าตราไปรษณียากรพร้อมค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นจำนวนเงินตามหลักฐานที่กรมศุลกากรออกให้อยู่นั้นเอง จึงเห็นได้ว่าจำนวนเงินที่ว่านี้มิใช่ราคาค่าจ้างหรือค่าบริการที่โจทก์ได้ทำการตกลงกับการสื่อสารแห่งประเทศไทยใหม่ดังที่โจทก์อ้างแต่อย่างใดไม่ ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้รับเงินค่าจ้างหรือค่าบริการในการนำเข้าตราไปรษณียากรจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยในครั้งนี้เป็นเงิน 1,983,333.33 บาทตรงตามสัญญา เอกสารหมาย จ.5 แผ่นที่ 1 ถึง 7 ที่โจทก์ทำไว้กับการสื่อสารแห่งประเทศไทย เงินจำนวนนี้เป็นมูลค่าที่โจทก์ได้รับจากการให้บริการจึงเป็นฐานภาษีสำหรับการให้บริการที่โจทก์จะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีขาย) จากการสื่อสารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นผู้รับบริการ คิดเป็นภาษีขายจำนวน138,833.33 บาท ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79 และมาตรา 82/4การที่โจทก์เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีขาย) จากการสื่อสารแห่งประเทศไทยจากฐานภาษีจำนวน 327,692.33 บาท (1,983,333.33 ลบ 1,655,641) คิดเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีขาย) จำนวน 22,938.46บาท นั้น เห็นได้ว่า เป็นผลให้ภาษีขายของโจทก์ต่ำกว่าความเป็นจริงทำให้รัฐได้รับภาษีขาดไปเป็นจำนวนเงิน 115,894.48 บาทดังที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยทำการประเมินจริง การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มประจำเดือนมีนาคม 2535 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พิพากษายืน